รีวิว OPPO Reno สมาร์ทโฟนพรีเมียมซีรีส์ใหม่ ดีไซน์เฉียบ กล้องดี สเปกจัดเต็ม ในราคาหมื่นกลางๆ :: Thaimobilecenter.com

สมาร์ทโฟนพรีเมียมซีรีส์ใหม่ ดีไซน์สวยล้ำ กล้องดี สเปกจัดเต็มทุกด้าน ในราคาหมื่นกลางๆ ด้วยจอ AMOLED Panoramic Screen ไร้รูไร้รอยบาก 6.4 นิ้ว ผสานเทคโนโลยีสแกนนิ้วบนหน้าจอ Hidden Fingerprint Unlock 2.0, กล้องหลังคู่ 48+5MP ผสานกล้องหน้า Rising Camera, ชิปเซ็ต Snapdragon 710 พร้อม ROM 256GB+RAM 6GB และเทคโนโลยีชาร์จเร็ว VOOC 3.0 บนแบตเตอรี่ 3765 mAh กับบอดี้ไล่เฉดสีสวยพรีเมียม ในราคา 16,990 บาท

20 มิถุนายน 2019 - เป็นที่กล่าวถึงกันมากในช่วงนี้เลยทีเดียวครับสำหรับสมาร์ทโฟน OPPO Reno Series โดยเฉพาะรุ่นท็อปอย่าง OPPO Reno 10x Zoom ที่ชูจุดเด่นด้านการซูมสูงสุด 60 เท่า และกล้องหน้า Pop-Up ดีไซน์แปลกใหม่คล้ายครีบฉลาม ซึ่งพวกเราทีมงาน Thaimobilecenter ก็ได้รีวิว OPPO Reno 10x Zoom ให้ชมกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และที่ขาดไม่ได้ก็คือ ยังมี OPPO Reno รุ่นมาตรฐานอีกหนึ่งรุ่น ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน และมีราคาที่เอื้อมถึงได้ง่ายกว่า ซึ่งเราได้นำมารีวิวให้ชมกันในวันนี้ครับ

OPPO Reno เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นมาตรฐานในตระกูล Reno Series โดยมีดีไซน์ภายนอกที่แทบจะเหมือนกันทุกองค์ประกอบ แต่ปรับลดคุณสมบัติบางส่วนลง และตัดฟังก์ชันการซูม 10เท่าแบบ Hybrid Zoom ออกไป เพื่อให้มีราคาที่เอื้อมถึงได้ง่ายขึ้น นั่นคือ OPPO Reno มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 16,990 บาท ถูกกว่ารุ่น 10x Zoom ถึง 12,000 บาท ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ สำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสความพรีเมียมของสมาร์ทโฟน OPPO Reno Series แต่มีงบประมาณจำกัด โดยยังคงจุดเด่นของ Reno Series ไว้เกือบครบถ้วน ได้แก่ หน้าจอ AMOLED Panoramic Screen ขนาด 6.4 นิ้ว ที่คมชัดระดับ Full HD+ ดีไซน์ไร้ขอบหมดจดไม่มีรอยบาก หรือรูใดๆ พร้อมรองรับการแสดงผลด้วยขอบเขตสีตามมาตรฐาน DCI-P3 ที่ช่วยให้มีสีสันสดใสสมจริงมากยิ่งขึ้น มีเทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอที่เรียกว่า Hidden Fingerprint Unlock 2.0 อีกทั้งยังถูกครอบทับด้วยกระจกนิรภัยสุดแกร่งอย่าง Corning Gorilla Glass 6 บนบอดี้โลหะแบบ Unibody พร้อมด้วยกล้องหน้า Pop-Up แบบ Pivot Rising Camera ที่ผ่านการออกแบบให้รองรับการเลื่อนขึ้น-ลงถึง 200,000 ครั้ง และเลื่อนเก็บเองอัตโนมัติเมื่อเครื่องหล่นจากที่สูง

สำหรับคุณสมบัติภายใน OPPO Reno นั้นมากับชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 710 แบบ 8 แกน (Octa-Core) ซึ่งเป็นชิปเซ็ตระดับกลางที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมด้วยหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6 GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 256 GB จึงสามารถรองรับการใช้งานทั่วไปได้เป็นอย่างดีไม่มีติดขัด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Game Space ที่ช่วยปิดกั้นสายโทรเข้า และการแจ้งเตือนระหว่างเล่นเกม พร้อมเร่งประสิทธิภาพการประมวลผลของตัวเครื่องให้สูงขึ้นเพื่อประสบการณ์การเล่นเกมที่ราบรื่น โดยมีพื้นฐานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ที่ครอบทับด้วย ColorOS 6.0 เวอร์ชันล่าสุด ซึ่งปรับดีไซน์ User Interface ใหม่ให้ดูสวยงาม และเรียบง่ายน่าใช้งานยิ่งขึ้น พร้อมด้วยแบตเตอรี่ความจุ 3,765 mAh ที่มากับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ VOOC Flash Charge 3.0 อันเลื่องชื่อของ OPPO อีกด้วย

ด้านคุณสมบัติของกล้องถ่ายภาพนั้น OPPO Reno รุ่นนี้แม้จะเป็นรองรุ่นใหญ่อย่าง Reno 10x Zoom อยู่บ้าง แต่ก็ดีเกินพอสำหรับการถ่ายภาพทุกรูปแบบที่ไม่ได้เน้นการซูม หรือมุมกว้าง โดยเป็นกล้องคู่ที่มีกล้องหลักความละเอียดสูงถึง 48 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.7 ที่สามารถ ถ่ายรูปเต็มความละเอียด 48 ล้านพิกเซลได้ พร้อมด้วยระบบ AI Scene Optimization ช่วยปรับแต่งรูปภาพโดยอัตโนมัติ และ Ultra Night Mode 2.0 ที่เพิ่มความสว่างให้กับภาพถ่ายกลางคืนโดยไม่ต้องใช้แฟลช ประกบด้วยกล้องที่สองที่ใช้งานเป็นเซ็นเซอร์วัดความลึก (Depth Sensor) ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ช่วยให้การเบลอฉากหลังในโหมด Portrait ดูแนบเนียนเป็นธรรมชาติมากขึ้น ส่วนกล้องหน้า Rising Camera มีความละเอียดอยู่ที่ 16 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง f/2.0 กับฟีเจอร์ AI Beautification ที่ปรับแต่งหน้าสวยได้อย่างละเอียด ซึ่งเป็นจุดขายอันขึ้นชื่อของสมาร์ทโฟน OPPO อีกด้วย

จากคุณสมบัติที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ นับว่า OPPO Reno มีความน่าสนใจไม่แพ้รุ่น Reno 10x Zoom เลยทีเดียว แต่ด้านการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร และแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนนั้น เราไปดูพร้อมๆ กันใน รีวิว OPPO Reno โดยทีมงาน Thaimobilecenter ได้เลยครับ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

เปิดเครื่องพร้อมทดสอบการใช้งานด้านซอฟต์แวร์

เมื่อปัดนิ้วจากด้านบนลงมาจะเป็นการเปิด แถบเมนูทาง ลัด ซึ่งในเวอร์ชันนี้มีการปรับดีไซน์ให้กดง่าย และดูสบายตาขึ้น โดยมีทางลัดสำหรับการตั้งค่าที่ใช้บ่อยๆ เช่น Wi-Fi, โหมดเงียบ, Bluetooth, ไฟฉาย, ตัดแสงสีฟ้าบนหน้าจอ (การปกป้องในเวลากลางคืน), ปรับความสว่างหน้าจอ เป็นต้น ส่วนด้านล่างจะแสดงแถบแจ้งเตือนของแอปพลิเคชันต่างๆ หากปัดนิ้วลงมาอีกครั้งจะเป็นการขยายเมนูทางลัด

หากกดที่ไอคอนสามขีดด้านขวาบน จะเป็นการ ปรับแต่งเมนู ทางลัด โดยเราสามารถเลือกไอคอนการตั้งค่าที่เราต้องการเข้ามาไว้ในแถบเมนู หรือลบทางลัดที่มีอยู่แล้วออกจากเมนูก็ได้

เมื่อปัดนิ้วบนหน้าจอหลักไปทางซ้าย จะแสดง รายการแอ ปพลิเคชันทั้งหมด ที่ติดตั้งไว้ในตัวเครื่อง หากจำนวนแอปแสดงจนเต็มหน้า ก็จะเพิ่มหน้าใหม่โดยอัตโนมัติ

หากปัดจอไปทางขวาจะเป็นการเปิดหน้าต่าง ผู้ช่วย อัจฉริยะ ซึ่งจะรวมข้อมูลสำคัญๆ เอาไว้ เช่น การพยากรณ์อากาศ, ปฏิทิน, ทางลัดการเข้าถึงแอปพลิเคชัน, การนับก้าว และรายชื่อผู้ติดต่อที่เราบันทึกไว้เป็นเบอร์โปรด เป็นต้น

เมื่อกดค้างตรงพื้นที่ว่างบนหน้าจอหลัก หรือลาก 2 นิ้วบนหน้าจอเข้าหากัน จะเข้าสู่ เมนูการปรับแต่งหน้าจอ ซึ่งเราสามารถเพิ่มวิดเจ็ต, เปลี่ยนภาพพื้นหลัง, ปรับแต่งแอนิเมชันการเปลี่ยนหน้า และตั้งค่าปลีกย่อยอื่นๆ ได้

ใช้นิ้วลากวิตเจ็ตที่ต้องการเพิ่มจากด้านล่างเข้าไปวางในหน้า จอหลักได้ทันที และเลือกเปลี่ยนแอนิเมชันการเปลี่ยนหน้าได้ 5 แบบ

สมาร์ทโฟนของ OPPO ในปัจจุบันมีร้านค้าธีม และวอลเปเปอร์ทางการของ OPPO ให้เลือกดาวน์โหลดไปใช้งานกันตามใจชอบ ซึ่งในขณะนี้ยังมีให้เลือกไม่มากนัก แต่ดาวน์โหลดได้ฟรีทุกรายการ และคาดว่า OPPO จะทยอยเพิ่มคอนเทนต์ใหม่ๆ เข้ามาในอนาคต รวมไปถึงคอนเทนต์บางอย่างที่ต้องเสียเงินซื้อด้วย

สำหรับแอปพลิเคชันพื้นฐานที่ติดมากับเครื่องจะอยู่ในโฟลเดอร์ เครื่องมือ ซึ่งมีสมุดรายชื่อผู้ติดต่อ, เครื่องมือบันทึกเสียง, เข็มทิศ, เครื่องคิดเลข, เครื่องมือคัดลอกข้อมูลไปยังสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ เป็นต้น

และยังมีแอปพลิเคชันของ Google ติดตั้งมาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Gmail, YouTube, Maps, Google Drive รวมถึงแอปพลิเคชันงานเอกสาร Google Docs, Google Sheet และ Google Slides นอกจากนี้ในส่วนของ Hot Apps ยังมีการแนะนำแอปพลิเคชันและเกมที่น่าสนใจให้กับเรา ซึ่งเราจะติดตั้งหรือไม่ก็ได้

นอกเหนือไปจาก Play Store แล้ว OPPO Reno ยังมี OPPO AppStore ติดตั้งมาในเครื่องด้วย ซึ่งแอปพลิเคชันส่วนใหญ่ในนี้จะเป็นแอปพลิเคชันที่มีอยู่แล้วใน Play Store แต่จะมีการคัดแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยม และน่าสนใจมานำเสนออีกทีหนึ่ง ซึ่งอาจช่วยให้เราพบแอปพลิเคชันถูกใจได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องไปค้นหาด้วยตนเองให้เสียเวลา

สำหรับฟังก์ชันสำคัญอย่างการโทรนั้น มีหน้าอินเตอร์เฟซที่สะอาดและเรียบง่าย ตัวเลขไม่ใหญ่มากแต่ยังเห็นได้ชัดเจน และไม่เป็นอุปสรรคต่อการกด

สามารถเปิดใช้ลิ้นชัก (Drawer) บนหน้าจอหลักได้ ซึ่งในโหมดนี้แอปพลิเคชันทั้งหมดจะรวมอยู่ในหน้าลิ้นชัก และไม่เพิ่มเข้าไปในหน้าจอหลัก (ยกเว้นเราเพิ่มเข้าไปเอง) ช่วยให้หน้าจอหลักดูมีระเบียบมากขึ้น หรือถ้ารู้สึกว่าหน้าจอดูโล่งเกินไป ก็สามารถเลือกจำนวนการแสดงแอปพลิเคชันบนหน้าจอได้เช่นกัน

OPPO Reno มีแอปพลิเคชัน ตัวจัดการโทรศัพท์ สำหรับปรับปรุงระบบของตัวเครื่องให้ทำงานราบรื่นอยู่เสมอ โดยสามารถล้างข้อมูลที่ไม่จำเป็น, สแกนไวรัส และตรวจสอบปัญหาการทำงานของอุปกรณ์โดยรวม เมื่อเปิดแอปนี้ขึ้นมา ตัวแอปจะตรวจสอบสถานะการทำงานของระบบทันที หากผลการประเมินต่ำกว่า 100 เราสามารถ กดปุ่ม "ไปที่การปรับปรุง" เพื่อให้ระบบจัดการโดยอัตโนมัติได้ ซึ่งใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น

ในส่วนของเมนู ทำความสะอาด จะแสดงการใช้งานหน่วยความจำภายใน และปริมาณของไฟล์ขยะที่ลบทิ้งได้ เมื่อกดปุ่ม "ทำความสะอาด" จะลบไฟล์ขยะในหมวดนั้นๆ ทันที ซึ่งเราสามารถเลือกลบเฉพาะบางไฟล์ได้เช่นกัน

เมนู การอนุญาตสำหรับความเป็นส่วนตัว จะ อนุญาตให้เราเข้าไปจัดการสิทธิการเข้าถึงของแต่ละแอปได้ พร้อมทั้งเลือกแอปพลิเคชันที่จะทำงานทันทีเมื่อเปิดเครื่อง และเลือกแอปพลิเคชันที่จะให้แสดงเป็นหน้าต่างลอยซ้อนบนแอปอื่นๆ ได้ด้วย

เมนู การปกป้องการชำระเงิน เป็นการตรวจสอบสถานะความปลอดภัยของตัวเครื่อง ตั้งแต่สถานะการรูทเครื่อง ไปจนถึงการตรวจสอบแพทช์รักษาความปลอดภัย และการตั้งค่าปลีกย่อยอื่นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าสมาร์ทโฟนไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย และพร้อมที่จะทำธุรกรรมการเงินผ่านอินเทอร์เน็ตได้

เมนู การทดสอบประจำ เป็นฟังก์ชันการตรวจหาความผิดปกติของฮาร์ดแวร์ โดยจะมีคำแนะนำให้ผู้ใช้ทำตามเพื่อตรวจสอบการทำงานของฮาร์ดแวร์แต่ละส่วนไปทีละขั้น ตอน ช่วยให้เราตรวจสอบได้เองในเบื้องต้นว่าเครื่องเสียตรงไหน และบอกข้อมูลให้กับช่างเมื่อส่งซ่อมได้

อีกฟีเจอร์หนึ่งที่น่าสนใจสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องแบ่ง สมาร์ทโฟนให้บุตรหลานเล่นบ่อยๆ ได้แก่ฟีเจอร์ พื้นที่สำหรับเด็ก ซึ่งเป็นโหมดที่จะจำกัดการใช้งานแอปพลิเคชัน พร้อมทั้งจำกัดเวลาการใช้งานสมาร์ทโฟน และป้องกันการจ่ายเงินให้กับแอปหรือเกม ในโหมดนี้จะใช้งานได้แค่แอปพลิเคชันที่เลือกไว้เท่านั้น หากต้องการออกจากโหมดนี้จะต้องใส่รหัสผ่านให้ถูกต้องเสียก่อน ช่วยให้เราควบคุมการเล่นของบุตรหลานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถส่งสมาร์ทโฟนให้เด็กๆ เล่นได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลว่าเด็กจะแอบซื้อไอเทมในเกม หรือเข้าไปยุ่งกับไฟล์สำคัญในเครื่องครับ

ในส่วนของตัวเลือกด้านความปลอดภัย มีตัวเลือกการตั้งรหัสผ่าน, PIN หรือรูปแบบการลากแพทเทิร์น เพื่อใช้ปลดล็อกหน้าจอเหมือนสมาร์ทโฟนทั่วไป และสามารถ ลงทะเบียนลาย นิ้วมือ เพื่อใช้ปลดล็อกหน้าจอ หรือใช้ยืนยันตัวตนแทนรหัสผ่านในแอปพลิเคชันต่างๆ ได้

นอกจากนี้ยังมี ระบบสแกนใบหน้า (AI Facial-Unlock) ให้ใช้งานอีกด้วย ซึ่งจะปลดล็อกได้เร็วกว่าการสแกนลายนิ้วมือ แต่อาจจะไม่รัดกุมเท่า เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว

ถึงแม้ว่าในแอปพลิเคชัน ตัวจัดการโทรศัพท์ จะไม่มีเมนูจัดสรรการใช้แบตเตอรี่ แต่เราสามารถเข้าไปจัดการได้ใน การ ตั้งค่า > แบตเตอรี่ ซึ่งระบบจะตรวจสอบการใช้แบตเตอรี่ของแต่ละแอป และปิดการทำงานพื้นหลังของแอปบางตัวโดยอัตโนมัติ ส่วนแอปที่ใช้พลังงานมาก และฟังก์ชันต่างๆ เช่น GPS หรือ Bluetooth นั้น เราสามารถเลือกที่จะปิด หรือไม่ปิดก็ได้

มาดูที่การแสดงผลหน้าเว็บไซต์กันบ้าง โดย OPPO Reno นั้นจะมีเบราเซอร์ติดตั้งมาให้ 2 ตัว ได้แก่ Chrome และ Opera ซึ่งว่าทุกท่านคงจะคุ้นเคยกับเบราเซอร์สามัญประจำเครื่องอย่าง Chrome กันดีอยู่แล้ว แต่ Opera ก็เป็นเบราเซอร์อีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ซึ่งมีความเร็ว และประสิทธิภาพโดยรวมไม่แพ้ Chrome

ฟังก์ชันที่น่าสนใจของ Opera คือ มี ตัวบล็อกโฆษณา ใน ตัวเอง และมี โหมดกลางคืน ให้ใช้งาน ซึ่งในโหมดนี้หน้าต่างของเบราเซอร์จะเปลี่ยนเป็นสีดำ และแสงบนหน้าจอจะทึบลง ช่วยให้อ่านบทความบนเว็บไซต์ได้สบายตายิ่งขึ้นเมื่ออยู่ในที่แสงน้อย

และยังมีโหมด การประหยัดข้อมูล ที่ช่วยลดปริมาณการใช้ Data ของอินเทอร์เน็ต และมี VPN ที่ช่วยอำพรางหมายเลข IP ของผู้ใช้เพื่อความเป็นส่วนตัว และเข้าถึงบางเว็บไซต์ที่ถูกบล็อกอีกด้วย แต่จะ เปิดการประหยัดข้อมูล กับ VPN พร้อมกันไม่ได้

ในส่วนของ แกลเลอรี สำหรับดูภาพถ่ายและ วิดีโอที่เก็บไว้ในเครื่อง จะมีการแบ่งเป็นหมวดหมู่เอาไว้ตามวันที่ถ่าย หรือเลือกดูแบบอัลบั้มซึ่งแบ่งตามประเภทของไฟล์ก็ได้ตามสะดวก

สำหรับการฟังเพลง OPPO Reno มีแอปพลิเคชันพื้นฐานติดตั้งมาให้อยู่แล้ว โดยในเวอร์ชันนี้มีการปรับปรุงดีไซน์ให้สะอาดตายิ่งขึ้น ที่แผงควบคุมด้านล่างมีทางลัดการตั้งค่าสำหรับเรียกดู Playlist, ตั้งค่าระบบเสียง Dolby Atmos, เล่นเพลงแบบวนซ้ำ (ซ้ำเพลงเดียว / ซ้ำทั้งอัลบั้ม / สุ่มลำดับเพลง) และตัวเลือกการตั้งค่าเพิ่มเติมอื่นๆ

Dolby Atmos เป็นฟีเจอร์ที่ใช้งานได้เมื่อเชื่อมต่อหูฟัง โดยจะทำให้เราตั้งค่า Equalizer ให้เข้ากับคอนเทนต์ต่างๆ เช่นการฟังเพลง, ดูหนัง หรือเล่นเกม หรือจะตั้งค่า Equalizer ด้วยตนเองก็ได้เช่นกัน

สำหรับแอปพลิเคชันการเล่นวิดีโอของ OPPO Reno มีปุ่มควบคุมการทำงานพื้นฐานครบถ้วน สามารถเล่นวิดีโอความละเอียดระดับ Full HD ได้อย่างราบรื่น

หากวิดีโอที่เล่นมีอัตราส่วนไม่พอดีกับหน้าจอ จะเหลือแถบสีดำด้านข้างเอาไว้ หากต้องการดูแบบเต็มจอให้กดที่ ไอคอนลูก ศร 4 ดอก ตรงมุมขวาบน ระบบจะ ขยายภาพให้เต็มโดยจะมีบางส่วน ล้นออกไป

พื้นที่สีเขียวในภาพคือส่วนที่จะล้นออกไปเมื่อขยายเต็มหน้าจอ

สำหรับไอคอนที่เป็น 5 ขีดเรียงกัน จะทำให้วิดีโอ เล่นเฉพาะเสียงเท่านั้น ส่วนไอคอนรูปแม่กุญแจ จะเป็นการ ล็อกหน้าจอ เพื่อป้องกันไม่ให้เผลอไปกดโดนหน้าจอ ระหว่างดูวิดีโอ

OPPO Reno รองรับ การใช้งาน 2 แอปพลิเคชันพร้อมกันในหน้าจอเดียว เราสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชันนี้ได้ด้วยการปัดนิ้วขึ้นด้านบนเพื่อเปิดหน้า Recent Apps จากนั้น กดที่ไอคอน 3 ขีด มุมขวาบนของแอป แล้วเลือก หน้าจอแบ่ง แอปนั้นๆ จะถูกเปิดขึ้นมาแบบครึ่งจอทันที จากนั้นให้เราเลือกเปิดแอปที่ต้องการในหน้าจอข้างล่าง เพียงเท่านี้ก็เปิดแอปพลิเคชันพร้อมกันได้แล้ว

ในส่วนของการเล่นเกม OPPO Reno มีฟีเจอร์เสริมสำหรับเล่นเกม Game Space ซึ่งช่วยเร่งประสิทธิภาพการประมวลผลและปิดกั้น การแจ้งเตือน ต่างๆ ไม่ให้มาขัดจังหวะการเล่น โดยในเวอร์ชันนี้มีการปรับปรุงหน้าอินเตอร์ เฟซใหม่ให้ดูเท่ และใช้งานง่ายกว่าเดิม เราสามารถ เพิ่มเกมเข้ามาใน Game Space ได้ด้วยการกดที่เครื่องหมาย + แล้วเลือกเกมที่ต้องการ หรือจะเพิ่มแอปพลิเคชันทั่วไปที่ไม่ใช่เกมก็ได้ ซึ่งแอปที่เพิ่มเข้ามาก็จะได้รับการเร่งความเร็ว และปิดกั้นการแจ้งเตือนด้วย

แถบเมนูด้านล่างสามารถปัดขึ้นเพื่อดูการตั้งค่าเพิ่มเติมได้ โดยจะแสดง ระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่ที่เหลือ โดยประมาณ และ ความ แรงของสัญญาณ Wi-Fi ปุ่มด้านซ้ายที่เป็นรูปมาตรวัดเป็นเมนูปรับระดับความเร็วของเครื่อง โดย ประสิทธิภาพ สูง จะเป็นการเร่งระดับความเร็วสูงสุด ทำให้ภาพในเกมสวยขึ้น ลื่นขึ้น แต่จะเปลืองแบตเตอรี่มากตามไปด้วย ส่วน โหมดใช้พลังงานต่ำ จะปรับลดความเร็วลงเพื่อเน้นการประหยัดแบตเตอรี่ และ โหมดสมดุล จะเป็นโหมดที่สมดุลระหว่างความเร็วและการประหยัดพลังงาน สำหรับปุ่มด้านขวาจะเป็นการเลือกบล็อกสายโทรเข้า, บล็อกการแจ้งเตือน หรือจะบล็อกทั้งคู่ก็ได้เช่นกัน

เมื่อเข้าเกมมาแล้ว เรายังสามารถ ปัดหน้าจอทางซ้าย เพื่อเรียกใช้เมนูลัด ได้ ซึ่งแต่ละปุ่มมีการใช้งานดังนี้

ห้ามรบกวน : บล็อกการแจ้งเตือน

ไม่รับสาย : ตัดสายเรียกเข้าอัตโนมัติ

เล่น AFK : เปิดโหมด AFK ( A way F rom K eyboard) โดยเกมจะยังเล่นต่อไปตามปกติ แต่จะปิดหน้าจอเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ เหมาะสำหรับเกมที่ต้องปล่อยบอทฟาร์มของหรือเก็บเลเวล

ภาพหน้าจอ : บันทึกภาพหน้าจอ

บันทึกจอ : บันทึกคลิปการเล่น

ข้อความ : ส่งข้อความ SMS

ตัวอย่างหน้าจอการเล่นในโหมด AFK

ในการรีวิวครั้งนี้ ทางทีมงานได้เลือกเกมมาทดสอบ 3 เกมด้วยกัน ได้แก่ PUBG Mobile , World War Heroes และ Eternal City เล่นติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง พบว่า OPPO Reno สามารถเล่นเกมทั้ง 3 เกมในระดับกราฟิกสูงสุดได้อย่างไม่มีปัญหา โดยมีเฟรมเรตนิ่งตลอดการเล่น และไม่มีอาการกระตุกหรือชะงักจากการหันเปลี่ยนมุมมองซ้าย-ขวา เหมาะกับการเล่นเกมแนว FPS ที่ต้องการความรวดเร็วแม่นยำ ส่วนเกมแนวเก็บเลเวลทั่วไปอย่าง Eternal City ก็เล่นได้ราบรื่น และไม่ค่อยร้อนเมื่อเล่นไปนานๆ นอกจากนี้ยังมีโหมด AFK ที่ช่วยประหยัดแบตเมื่อปล่อยบอททิ้งไว้นานๆ อีกด้วย โดยรวมถือว่า OPPO Reno เป็นสมาร์ทโฟนที่เหมาะกับการเล่นเกมอีกรุ่นหนึ่งในตอนนี้ครับ

OPPO Reno วัดค่า benchmark จากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ได้ 154872 คะแนน และจากแอปพลิเคชัน Geekbench 4 ได้ 1474 คะแนนสำหรับการประมวลผลแกนเดี่ยว (Single-Core) และ 5879 คะแนนสำหรับการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core)

สำหรับการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 1799 คะแนน ส่วนการทดสอบแบบ Vulkan ได้คะแนนการทดสอบที่ 1741 คะแนน

OPPO Reno ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 710 แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.2 GHz มีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 616, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6 GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 256 GB

สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง OPPO Reno นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor และ Magnetic Sensor ส่วนหน้าจอแสดงผลรองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด

ระบบ GPS สามารถจับสัญญาณดาวเทียมในที่กลางแจ้งได้ดี โดยจากภาพตัวอย่างจะเห็นว่าจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 43 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 6 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ขึ้นอยู่กับพื้นที่และสภาพอากาศด้วย ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่และช่วงเวลา

การใช้งานกล้องดิจิทัลสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

หากกดที่ไอคอนสามขีดด้านซ้าย จะพบกับโหมดการถ่ายภาพอื่นๆ และมีโหมด ผู้เชี่ยวชาญ (โหมดโปร) ให้ ใช้ด้วย ซึ่งสามารถปรับแต่งค่าการเปิดรับแสง (Exposure), สมดุลแสงขาว (WB), การโฟกัส (AF/MF) และการชดเชยแสง (EV) แต่ไม่สามารถปรับค่าความไวแสง (ISO) ได้ ส่วนโหมด กลางคืน หรือที่เรียกว่า Ultra Night Mode 2.0 จะเป็นการเพิ่มความสว่าง และความคมชัดในเวลากลางคืนโดยไม่ใช้แฟลช ซึ่งเรามีตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดนี้มาให้ชมกันในส่วนถัดไป

กล้องหลังของ OPPO Reno รองรับการถ่ายภาพนิ่งได้ 3 อัตราส่วน ได้แก่ 4:3 (ค่าเริ่มต้น), 1:1 และ เต็มจอ (19.5:9) และสามารถถ่ายภาพเต็มความละเอียด 48 ล้านพิกเซลในอัตราส่วน 4:3 ได้ ส่วนการบันทึกวิดีโอปรับความละเอียดได้ 3 ระดับ คือ 720p (HD), 1080p (FHD) และ 4K (QHD)

ในส่วนของกล้องหน้ามีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล จุดเด่นคือเทคโนโลยี AI Beautification ที่ปรับแต่งใบหน้าได้อย่างละเอียดทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นสีผิว, การลบจุดด่างดำ, ลบจุดหมองคล้ำ, เพิ่มความโดดเด่นให้ดวงตา ไปจนถึงการปรับโครงหน้าให้เรียวเข้ารูป สำหรับการบันทึกวิดีโอสามารถปรับความ ละเอียดได้ 2 ระดับ คือ 720p (HD) และ 1080p (FHD)

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังคู่ ความละเอียด 48+5 ล้านพิกเซล

สรุปผลการทดสอบของ OPPO Reno

ในภาพรวม OPPO Reno นั้นเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นมาตรฐานในตระกูล Reno Series ที่แม้จะมีสเปกต่างจากรุ่นท็อปอย่าง 10x Zoom ในหลายๆ จุด แต่ก็มีราคาที่ย่อมเยากว่ามากด้วยเช่นกัน จุดแตกต่างที่ชัดที่สุดคือกล้องดิจิทัลด้านหลังที่เป็นกล้องคู่ (ไม่มีส่วนของกล้อง Periscope สำหรับซูม 10x Hybrid Zoom หรือ 60x) และเลือกใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Snapdragon 710 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตระดับกลาง อย่างไรก็ดีในแง่ของการใช้งานจริง เราอาจจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างมากเท่าใดนัก เพราะสเปกระดับนี้สามารถรองรับการใช้งานทุกประเภทได้อย่างลื่นไหลอยู่แล้ว ส่วนการถ่ายภาพนั้นก็ทำได้ดีเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ในช่วงราคาเดียวกัน เพียงแค่ซูมแบบ Hybrid Zoom 10 เท่าไม่ได้ และถ่ายภาพมุมกว้างพิเศษแบบ 120 องศาไม่ได้เท่านั้น นอกเหนือจากนี้ ความรู้สึกในการใช้งานโดยรวมก็แทบจะไม่ต่างกับรุ่น 10x Zoom

จุดเด่นอย่างแรกของ OPPO Reno คือดีไซน์ภายนอกที่ดูสวยงามพรีเมียมขึ้นกว่าสมาร์ทโฟนของ OPPO เองหลายๆ รุ่นก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะ จอไร้ขอบรอบด้านที่ไม่มีรอยบาก หรือรูกล้องมาสะดุดสายตา ทำให้เรารับชมคอนเทนต์ต่างๆ บนจอ AMOLED ขนาด 6.4 นิ้วได้อย่างเต็มตา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเทคโนโลยีการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ หรือที่เรียกว่า Hidden Fingerprint Unlock 2.0 ติดตั้งมาให้เช่นเดียวกับรุ่นใหญ่ อีกทั้งองค์ประกอบหลายส่วนยังแสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่ใส่ใจในรายละเอียด เช่น ปุ่มเซรามิก (O-Dot) ที่ช่วยป้องกันไม่ให้เลนส์สัมผัสกับพื้นผิวโดยตรงเมื่อวางตัวเครื่อง และระบบเซฟตี้ของโมดูล Pivot Rising Camera ที่จะเลื่อนเก็บอัตโนมัติเมื่อเครื่องตก

ในแง่ของการใช้งานทั่วไป OPPO Reno มีสเปกที่รองรับการใช้งานได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่วไป หรือแม้กระทั่งการเล่นเกม โดยมีชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 710 แบบ 8 แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วสูงสุด 2.2 GHz เป็นหัวใจในการประมวลผลหลัก พร้อมด้วยหน่วยความจำ RAM ที่มีมาให้ถึง 6 GB ซึ่งนับว่าเหลือเฟือสำหรับการใช้งานในปัจจุบัน ส่วนหน่วยความจำ ROM ก็มีมาให้ถึง 256 GB จึงสามารถเก็บเพลง, ภาพถ่าย, แอปพลิเคชัน และเกมได้อย่างจุใจ แม้จะใส่การ์ด microSD เพิ่มไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหา ส่วนแบตเตอรี่ของ OPPO Reno นั้น มีความจุอยู่ที่ 3,765 mAh ซึ่งมีความอึดทนในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบัน แต่ที่สำคัญกว่าคือมีเทคโนโลยีชาร์จด่วน VOOC Flash Charge 3.0 ซึ่งรวดเร็วเป็นอันดับต้นๆ ในวงการ

อย่างไรก็ดี OPPO Reno ยังมีจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจต้องพิจารณาอยู่บ้าง เช่น ระบบ AI Optimization ที่ปิดไม่ได้, ปรับระดับความเบลอฉากหลังในโหมด Portrait ไม่ได้ และไม่มี AI Beautification ให้ใช้งานในโหมด Portrait

ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมานี้ สามารถกล่าวได้ว่า OPPO Reno เป็นสมาร์ทโฟนที่รองรับการใช้งานได้ทุกประเภท แม้จะซูมได้ไม่เท่ารุ่นท็อป แต่ความสามารถในการถ่ายภาพโดยรวมนับว่าน่าประทับใจ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนดีไซน์สวย มีจอไร้ขอบไร้รอยบากอย่างแท้จริง และถ่ายรูปได้ดี ในงบหมื่นกลางๆ ครับ

OPPO Reno วางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในราคา 16,990 บาท มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สี เขียว Marble Green และ สีดำเงา Jet Black สามารถหาซื้อได้ที่ OPPO Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณ OPPO ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง OPPO Reno มาให้ทางทีมงานได้รีวิวกันในโอกาสนี้ด้วยครับ

จุดเด่นของ OPPO Reno

- เทคโนโลยีการผลิตตัวเครื่องแบบ Unibody (ตัวเครื่องถูกขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน) ด้านหลังใช้เทคนิคการเคลือบผิวสัมผัสเหลือบแสงแบบด้าน และมีการจัดวางองค์ประกอบต่างๆ แบบสมมาตร (Symmetric Design) - ตัวเครื่องขนาด 156.6x74.3x9.0 มิลลิเมตร กับน้ำหนัก 185 กรัม ซึ่งกะทัดรัดกว่า และเบากว่า รุ่น 10x Zoom - หน้าจอแสดงผล AMOLED Panoramic Screen แบบไร้รูไร้รอยบากขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2340 พิกเซล) ในอัตราส่วนในการแสดงผลแบบ 19.5:9 โดยมีสัดส่วนของจอแสดงผลกับตัวเครื่องที่ 93.1% - ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (Hidden Fingerprint Unlock 2.0) พร้อมระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (AI Face Unlock) - ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 710 แบบ Octa-Core Processor ความเร็ว 2.2 GHz - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 616 - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie พร้อมครอบทับด้วย ColorOS 6.0 - หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6 GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 256 GB - กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 48+5 ล้านพิกเซลโดยมีเซ็นเซอร์รับภาพขนาด 1/2.0 นิ้ว ขนาดรูรับแสงกว้างสุดที่ f/1.7ซึ่งรองรับฟังก์ชัน AI Scene Recognitionช่วยวิเคราะห์และตกแต่งภาพโดยอัตโนมัติ และรองรับโหมดการถ่ายภาพกลางคืน(Ultra Night Mode 2.0)ที่ช่วยให้ภาพถ่ายในที่มืดสว่างและคมชัดขึ้นโดยไม่ต้องใช้แฟลช - กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.0 พร้อมเทคโนโลยี AI Beautification ที่สามารถปรับโครงหน้าได้อย่างอิสระ - ฟังก์ชัน App Encryption และ Private Safe เพื่อความเป็นส่วนตัว รวมถึง Kids Space การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก - ระบบเสียงรอบทิศทางแบบ Dolby Atmos - แบตเตอรี่ความจุ 3,765 mAh พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง VOOC Flash Charge 3.0 - ฟีเจอร์ Game Space ที่สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกมได้ - ระบบ GPS+A-GPS ในตัว - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G/4G+, 3G, EDGE และ GPRS - รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac แบบ Dual Band (2.4 GHz / 5 GHz), NFC และ Bluetooth 5.0 - รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual nanoSIM) - รองรับการสแตนด์บายแบบ Dual 4G LTE - ราคา 16,990 บาท ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม

จุดที่อาจจะต้อง พิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO Reno

- ไม่มีระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS, ไม่มีเลนส์มุมกว้าง, ไม่มีระบบโฟกัสภาพแบบ Triple Focus และไม่รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K ที่ความเร็ว 60 fps (รุ่น 10x Zoom มีมาให้) - ปรับระดับความเบลอฉากหลังในโหมด Portrait ไม่ได้ และใช้ฟีเจอร์ AI Beautification ในโหมด Portrait ไม่ได้ - ตัวเครื่องไม่มีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ หรือป้องกันฝุ่น - หน้าจออัตราส่วน 19.5:9 ยังไม่สามารถใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันทั้งหมดได้ - ไม่มีช่องสำหรับใส่การ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD หรือแบบอื่นๆ

โปรดทราบ

* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้ เป็นเครื่องทดสอบจากศูนย์บริการ คุณสมบัติบางอย่างอาจแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริง รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจถูกแก้ไขให้ดีขึ้นแล้วในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองเพื่อความมั่นใจครับ *

สรุปคุณสมบัติเครื่อง

Leave a Comment