รีวิวฉบับเต็ม Samsung Galaxy Note10 | Note10+ เรือธงซัมซุงที่ดีที่สุดแห่งปี นาทีนี้พร้อมชนทุกรุ่น ไฮเอนด์ขั้นสุดทุกด้าน บนดีไซน์ใหม่หมดจด :: Thaimobilecenter.com

เรือธงซัมซุงที่ดีที่สุดแห่งปี นาทีนี้พร้อมชนทุกรุ่น ด้วยจอ Dynamic AMOLED โฉมใหม่ ผสานสแกนนิ้ว Ultrasonic, กล้องหลัง 4 ตัวคุณภาพสูงสุด, ปากกา S Pen สั่งงานด้วยท่าทาง, ชิปเซ็ต Exynos 9825, RAM LPDDR4X สูงสุด 12GB, ROM UFS 3.0 สูงสุด 512GB, แบตเตอรี่ชาร์จเร็วสูงสุด 45W, ลำโพงคู่ Dolby Atmos และฟีเจอร์ไฮเอนด์อัดแน่น บนตัวเครื่อง Metal-Glass ดีไซน์ใหม่สุดพรีเมียมบางเฉียบ ที่ไม่กลัวร้อน และไม่กลัวน้ำ

16 กันยายน 2019 - สวัสดีครับ ก็กลับมาพบกันอีกครั้งกับรีวิวสมาร์ทโฟน ฉบับเต็มแบบเจาะลึกทุกฟีเจอร์ จากทีมงาน Thaimobilecenter วันนี้เราก็ขอพาทุกท่านมาพบกับ 2 สมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในปีนี้ของ Samsung ได้แก่ Galaxy Note10 และ Note10+ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่สมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy Note ถูกแบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อยแบบนี้ โดยเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่อีกครั้ง ทั้งดีไซน์ภายนอก, จอแสดงผล, ปากกา S Pen, กล้องถ่ายภาพ, การประมวลผล, หน่วยความจำ, แบตเตอรี่ และล่าสุดก็ได้วางจำหน่ายในไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรียกว่า เป็นประเทศกลุ่มแรกของโลก เลยทีเดียว ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร ฟีเจอร์จะไฮเอนด์ขั้นสุดขนาดไหน และจะคุ้มค่าเงินที่จ่ายออกไปหรือไม่ เชิญไปติตดามกันต่อได้เลยครับ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

มาเริ่มกันที่เรื่องของดีไซน์ภายนอกกันก่อนเลยครับ มาคราวนี้ทั้ง Note10 และ Note10+ นั้นถูกเปลี่ยนดีไซน์ใหม่แบบไม่เหลือเค้าเดิมเลยทีเดียว ทั้งด้านหน้าที่เปลี่ยนมาใช้หน้าจอแบบ Cinematic Infinity-O ที่ขอบบางเฉียบแสดงผลได้เต็มพื้นที่กว่าเดิมมาก

กับด้านหลังที่เปลี่ยนมาจัดเรียงกล้องในแนวตั้งแทน แถมยังมีกล้องเพิ่มเป็นสูงสุด 4 ตัว

และถึงแม้หน้าจอจะใหญ่ขึ้น แต่ตัวเครื่องกลับมีน้ำหนักที่เบาลงเหลือเพียง 196 กรัม สำหรับ Note10+ และบางเฉียบกว่าเดิมเหลือเพียง 7.9 มิลลิเมตร สำหรับทั้ง 2 รุ่นย่อย

นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับสีตัวเครื่องใหม่ที่ดูเงางามสดใสกว่าเดิม โดยเฉพาะสีไฮไลท์อย่าง Aura Glow นั้นดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ อีกทั้งยังถูกครอบทับด้วยกระจกนิรภัยเวอร์ชันใหม่ล่าสุดที่แข็งแกร่งกว่าเดิมอย่าง Gorilla Glass 6 อีกด้วย

ส่วนสี Aura Pink ก็สวยเด่นไปอีกแบบ

แต่หากท่านใดอยากได้สีเรียบๆ ก็ยังคงมีสี Aura Black กับ Aura White ให้เลือกอยู่

และที่แน่นอนคือยังมีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP68 อยู่เช่นเดิมครับ

ในเรื่องของลำโพงเสียงภายนอก ก็ยังคงมาพร้อมลำโพงคู่ กับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos เช่นเคย

แต่ที่เปลี่ยนไปชัดเจนก็คือลำโพงด้านบนนั้นถูกซ่อนเอาไว้อย่างบางเฉียบแนบเนียนเป็นอย่างยิ่ง เรียกว่าขนาดมองใกล้ๆ ยังแทบสังเกตไม่เห็นเลยครับ ส่วนเสียงที่ออกมาก็ฟังดูมีมิติ, เก็บรายละเอียดได้ครบถ้วน และดังชัดเจนไม่แตกพร่า

ในด้านของถาดใส่ซิมการ์ดนั้น หากเป็น Note10+ ก็ยังเป็นถาดแบบ Hybrid Slot เช่นเดิม ซึ่งช่องใส่ซิมการ์ดที่สองต้องเลือกใส่อย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างซิมการ์ด หรือการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD

แต่สำหรับรุ่น Note10 ก็น่าเสียดายเล็กน้อย เนื่องจากไม่สามารถใส่การ์ดหน่วยความจำเพิ่มได้ เป็นแค่ถาดสำหรับใส่ซิมการ์ด 2 ซิมเท่านั้นครับ

เปรียบเทียบ Galaxy Note10 | 10+ กับ Galaxy Note9

เมื่อนำมาเทียบกับรุ่นเดิมอย่าง Note9 ก็พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เริ่มตั้งแต่ขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นเป็น 6.8 นิ้ว จากเดิม 6.4 นิ้ว พร้อมสัดส่วนหน้าจอที่ยาวขึ้นเป็นแบบ 19:9 ซึ่งมีความละเอียดในแนวตั้งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย, ขอบหน้าจอที่บางเฉียบลงในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านบน / ด้านล่าง และด้านข้าง, กระจกนิรภัยที่อัปเกรดมาเป็นแบบ Gorilla Glass 6, กล้องถ่ายภาพ กับเซ็นเซอร์ต่างๆ จากเดิมที่ดูหนา และกินพื้นที่ด้านบนไปมาก ก็ถูกย่อส่วนลงมาเหลือแค่ Hole Punch กับขอบบางๆ แทน

เมื่อพลิกมาที่ด้านหลังก็พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นกัน เริ่มที่ส่วนของกล้องถ่ายภาพ จากเดิมที่เป็นกล้อง 2 ตัวที่มีการจัดวางในแนวนอน ก็เปลี่ยนมาเป็นกล้อง 3 ตัวที่มีการจัดวางในแนวตั้งแทน และสำหรับ Note10+ ก็จะมีกล้อง DepthVision ใส่มาให้ด้วย ส่วนเซนเซอร์สแกนนิ้วจากเดิมที่อยู่ด้านหลัง ก็ถูกย้ายไปไว้บนหน้าจอแทน แต่สิ่งที่ถูกตัดออกไปก็คือเซนเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งทาง Samsung อาจจะมองว่าไม่จำเป็น และผู้ใช้ส่วนใหญ่คงแทบไม่ได้ใช้งานฟีเจอร์นี้

ส่วนวัสดุที่ใช้ ก็เปลี่ยนมาเป็นกระจก Gorilla Glass 6 ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม พร้อมสีตัวเครื่องที่ดูเงางามสะดุดตายิ่งขึ้น โดยเฉพาะสี Aura Glow กับ Aura Pink

ที่ด้านข้างของตัวเครื่องก็เปลี่ยนมาใช้พื้นผิวที่มีความเงากว่าเดิม แต่เมื่อดูที่พอร์ตด้านล่างกลับถูกตัดช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรออกไป และให้เชื่อมต่อผ่านทางพอร์ต USB Type-C แทน ส่วนของปลายปากกาก็มีความโค้งมนมากขึ้น และตรงนี้ก็คือไมโครโฟนสำหรับการสนทนา หรือบันทึกเสียง กับลำโพงเสียงที่มีดีไซน์แบบ 6 รู

ที่ด้านบนของตัวเครื่องประกอบไปด้วยไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน, รูสำหรับเพิ่มการกระจายเสียงของลำโพงตัวที่สอง, ถาดใส่ซิมการ์ด และแถบเสารับสัญญาณที่ย่อส่วนให้เหลือเพียง 1 แถบ จากเดิมที่มี 2 แถบ

ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องประกอบไปด้วยปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่ม Power ซึ่งจากเดิมปุ่มด้านนี้ใน Note9 จะเป็นปุ่ม Bixby แต่สำหรับใน Note10 ปุ่ม Bixby จะถูกตัดออกไป

ดังนั้นเมื่อปุ่ม Bixby ถูกตัดออกไป ที่ด้านขวาของตัวเครื่องจึงไม่มีปุ่มใดๆ ให้เห็น ทำให้ดูเรียบหรูสวยงามมากขึ้น

สำหรับปุ่ม Power นี้เราสามารถปรับตั้งค่าใช้งานเองได้ ทั้งการกดติดๆ กัน 2 ครั้ง หรือการกดค้างไว้ ซึ่งหากเราต้องการให้กดค้างเพื่อเข้าเมนูปิดเครื่องก็ทำได้เช่นกัน

กล้องถ่ายภาพของ Note9 นั้นเป็นกล้องคู่ซึ่งประกอบไปด้วยกล้อง Telephoto 12 ล้านพิกเซล กับกล้อง Wide-Angle 12 ล้านพิกเซล แต่ใน Note10+ นั้นถูกอัปเกรดให้กลายเป็น 4 กล้อง ได้แก่กล้อง Ultra Wide 16 ล้านพิกเซล, กล้อง Wide-Angle 12 ล้านพิกเซล, กล้อง Telephoto 12 ล้านพิกเซล และกล้อง DepthVision

ตัวปากกา S Pen ของ Note10 หรือ Note10+ นั้นจะสั้นลง และเบาลงเพียงแค่เล็กน้อย กับสีสันภายนอกที่ดูเรียบหรูขึ้น นอกนั้นก็ยังคงมีเทคโนโลยีบลูทูธเช่นเดิม, ตรวจจับแรงกดได้ 4,096 ระดับเท่าเดิม, มีหัวปากกาขนาด 0.7 มิลลิเมตรเท่าเดิม และกันน้ำ-กันฝุ่นได้ในระดับ IP68 เช่นเดิม

แต่สิ่งที่อัปเกรดขึ้นมาชัดเจนก็คือแบตเตอรี่ที่เปลี่ยนมาเป็นแบบ Lithium Titanate ที่สแตนด์บายได้สูงสุด 10 ชั่วโมง กับเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวเพื่อการใช้งานฟีเจอร์ใหม่อย่าง Air Actions ที่สามารถสั่งงานด้วยท่าทางได้

แกะกล่อง พร้อมสำรวจอุปกรณ์ด้านใน

ภายในกล่องของ Note10 หรือ Note10+ ก็จะมีอุปกรณ์พื้นฐานใส่มาให้ครบเลยนะครับ ตั้งแต่เคสซิลิโคนใส

อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่แบบ Super Fast Charging ที่มีกำลังไฟ 25W ซึ่งสำหรับ Note10+ หากต้องการได้กำลังไฟสูงสุดที่ 45W ตามมาตรฐาน Super Fast Charging 2.0 ก็ต้องซื้ออะแดปเตอร์แยกเองต่างหากครับ

นอกจากนี้ก็ยังมีหูฟัง AKG ที่ใช้หัวต่อแบบ USB Type-C

หัวปากกาสำรอง

สาย USB Type-C

เข็ม SIM Door Key

และคู่มือการใช้งานเบื้องต้น

สำหรับเคสซิลิโคนที่แถมมาให้ในกล่อง เนื่องจากเป็นแบบใส จึงยังคงสามารถมองเห็นสีตัวเครื่องสวยๆ งามๆ ที่ด้านในได้อย่างชัดเจน รวมทั้งมีความบางเฉียบแนบกับตัวเครื่องได้พอดิบพอดี จึงยังคงสามารถพกพาได้สะดวกคล่องตัว

หน้าจอ และเทคโนโลยีด้านการแสดงผล

หน้าจอแสดงผลถือเป็นจุดขายอันดับต้นๆ ของ Note10 กับ Note10+ เลยครับ ด้วยการเปลี่ยนมาใช้จอแบบ Cinematic Infinity-O ที่มีเพียง Hole Punch ขนาดเล็กอยู่ตรงกลางเพื่อใช้งานเป็นกล้องหน้า

บวกกับขอบจอที่บางเฉียบลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งด้านบน, ด้านล่าง และด้านข้าง ซึ่งนั่นจึงทำให้มีพื้นที่แสดงผลมากถึง 91% ในอัตราส่วนแบบ 19:9

โดยหน้าจอของ Note10 มีขนาดอยู่ที่ 6.3 นิ้ว พร้อมความละเอียดระดับ FHD+ หรือ 2280x1080 พิกเซล ส่วนหน้าจอของ Note10+ มีขนาดอยู่ที่ 6.8 นิ้ว พร้อมความละเอียดระดับ  WQHD+ หรือ 3040x1440 พิกเซล

ส่วนเทคโนโลยีการแสดงผลนั้น ทั้งคู่ใช้เป็นแบบใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า Dynamic AMOLED เช่นเดียวกับตระกูล Galaxy S10

นอกจากนี้ยังรองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+ พร้อมเทคโนโลยี Dynamic Tone Mapping ที่จะปรับแต่งแสงสีให้แบบ Real-Time เรียกว่าเป็นหน้าจอแสดงผลที่ยอดเยี่ยมจนได้รับการรับรองจากสถาบัน VDE ในประเทศเยอรมนี ว่ามีปริมาณสีเต็ม 100% ในช่วงสีแบบ DCI-P3

รวมถึงได้คะแนนมากถึงระดับ A+ จาก DisplayMate ด้วยความแม่นยำระดับ 0.4 JNCD ทั้งช่วงสีแบบ DCI-P3 กับ sRGB Natural, มีความสว่างสูงสุดระดับ 1308 nits ซึ่งสว่างกว่า Note9 ถึง 25% และมีค่า Contrast Ratio สูงสุดถึงระดับ 2,000,000:1

ไม่เพียงเท่านี้ หน้าจอของ Note10 กับ Note10+ ยังได้รับการรับรองจากสถาบัน TUV Rheinland ในเรื่องการลดผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อสายตาจากแสงสีฟ้า โดยสามารถลดแสงสีฟ้าได้ 41% ในโหมดปกติ และ 95% เมื่อเปิดใช้ฟังก์ชันลดแสงสีฟ้า

และภายใต้สุดยอดหน้าจอนี้ก็ยังมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือสุดล้ำสมัยแบบ Ultrasonic Fingerprint ฝังเอาไว้ ซึ่งใช้เทคนิคการส่งคลื่นเสียงเพื่อตรวจจับลายนิ้วมือแบบ 3 มิติ ซึ่งมีความแม่นยำ และปลอดภัยในระดับสูง

กระจกกันรอยรุ่นพรีเมียมสำหรับ Samsung Galaxy Note10 | 10+

ส่วนกระจกกันรอยระดับพรีเมียมที่เหมาะกับหน้าจอระดับไฮเอนด์ของ Note10 กับ Note10+ รุ่นหนึ่งที่อยากจะเอามาแนะนำก็คือ Hi-Shield UV Glue

ที่ติดแน่นแนบสนิททั้งจอ, กระจกใสไร้ขอบ แกร่งกว่ากระจก UV ทั่วไป 3 เท่า, ทัชลื่นไม่สะดุด, ใส่ได้กับทุกเคส, สแกนนิ้วบนหน้าจอได้

และที่สำคัญคือมีรับประกันกระจกแตกให้ถึง 180 วัน ซึ่งเดี่ยวเราจะนำมารีวิวแบบเต็มๆ ให้ชมกันครับ

ปากกา S Pen ใหม่ และฟีเจอร์สำหรับปากกา S Pen ที่น่าสนใจ

ปากกา S Pen ของ Note10 กับ Note10+ นั้นใช้ดีไซน์แบบ Unibody ซึ่งถูกขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน จึงดูสวยเรียบหรูน่าใช้งาน

โดยภายในนั้นประกอบไปด้วยเทคโนโลยีมากมาย ทั้งบลูทูธ, เซนเซอร์ Gyroscope, แบตเตอรี่ Lithium Titanate ที่สแตนด์บายได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง และการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP68

ส่วนหัวปากกานั้นมีขนาดอยู่ที่ 0.7 มิลลิเมตร กับการตรวจจับแรงกดได้ที่ 4096 ระดับเช่นเดิม

ด้วยการที่มีเซนเซอร์ Gyroscope ในตัว เราจึงสามารถสั่งงานผ่านปากกา S Pen ด้วยท่าทางต่างๆ ได้ โดยการสั่งงานด้วยท่าทาง หรือสั่งงานแบบไร้สายนี้เรียกว่า Air Actions ซึ่งรองรับทั้งการเปลี่ยนโหมดกล้องด้วยการตวัดปากกาไปทางซ้าย หรือทางขวา, การหมุนตามเข็มนาฬิกาเพื่อซูมเข้า, การหมุนทวนเข็มนาฬิกาเพื่อซูมออก, การตวัดปากกาขึ้นด้านบนเพื่อเพิ่มเสียง, การตวัดปากกาลงด้านล่างเพื่อลดเสียง, การตวัดปากกาไปทางซ้าย หรือทางขวา เพื่อเลื่อนดูคลิปวิดีโอถัดไป หรือก่อนหน้า, การตวัดปากกาขึ้น หรือลง เพื่อเลื่อนหน้าเว็บเพจ และอีกมากมาย ซึ่งเราสามารถตั้งค่าเพิ่มเติมได้

และแน่นอนว่าเรายังสามารถกดปุ่มบนปากกาเพื่อควบคุมแบบไร้สายผ่านบลูทูธได้เช่นเดิม เช่นการคลิกเพื่อเล่น หรือหยุดเพลง

การใช้งาน Air Actions นี้เราสามารถปรับตั้งค่าคำสั่งได้เองตามต้องการ ทั้งการกดปุ่มค้างไว้, การกดปุ่มแล้วปล่อย, การกดปุ่มติดๆ กัน 2 ครั้ง และการแสดงท่าทาง

ซึ่งคำสั่งเหล่านี้สามารถตั้งค่าแยกในแต่ละแอปพลิเคชันได้อย่างอิสระเลยครับ

อีกทั้งเรายังสามารถกำหนดได้ว่าเมื่อเราดึงปากกาออกมาจากตัวเครื่องแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ทั้งการเปิด Air Command, การสร้างบันทึกใหม่ และไม่ต้องให้มีอะไรเกิดขึ้น

สำหรับทางลัดต่างๆ เหล่านี้ในเมนู Air Command เราสามารถเลือกได้เองว่าจะให้มีทางลัดไหนแสดงอยู่บ้าง

การแปลงลายมือเป็นตัวพิมพ์ จากเดิมใน Note9 เราต้องเขียนในช่องเล็กๆ แต่มาใน Note10 เราสามารถเขียนลงไปในหน้ากระดาษโน้ตได้ทันที แล้วกดปุ่มแปลง พร้อมทั้งสามารถคัดลอกไว้ หรือส่งออกให้เป็นตัวพิมพ์ได้

สามารถเพิ่มสไตล์ของปากกาที่ใช้บ่อยๆ เอาไว้ในรายการโปรดได้ ทั้งชนิดปากกา, ความหนาของเส้น และสี จึงทำให้เราสามารถนำกลับมาใช้ในคราวต่อไปได้อย่างรวดเร็ว

ฟังก์ชัน Screen Off Memo ถูกปรับปรุงเพิ่มเติมให้สามารถเลือกสีของปากกาได้ 5 สี จากเดิมที่ใช้ได้เพียงแค่สีเดียว รวมทั้งสามารถปักหมุดไว้ที่หน้า Always On Display ได้ ซึ่งหากต้องการเรียกดู ก็แค่ใช้ปากกาแตะติดๆ กัน 2 ครั้ง

นอกจากนี้ก็ยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง ทั้งการจำลองเสียงเวลาเขียน ให้เหมือนกับเขียนลงบนกระดาษจริงๆ

สามารถวาดลายเส้น 3 มิติแบบ AR ลงไปพร้อมกับการถ่ายคลิปวิดีโอ ด้วยฟังก์ชัน AR Doodle ด้วยปากกาหลากหลายรูปแบบ ซึ่งก็จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับคลิปวิดีโอที่เราถ่ายได้

สามารถจับภาพหน้าจอ พร้อมเลือกส่วนที่ต้องการบันทึก แล้วเขียนด้วยปากกาลงไปได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาไปเปิดไฟล์ภาพมาแก้ไข ด้วยฟังก์ชัน Screen Write

จากเดิมฟังก์ชัน Live Message ใน Note9 สามารถเขียนได้บนภาพนิ่ง หรือไฟล์ GIF เท่านั้น แต่มาใน Note10 เราสามารถเขียน Live Message ลงไปในคลิปวิดีโอได้ด้วย

มีแอปพลิเคชัน PENUP ซึ่งเป็นเหมือนศูนย์รวมผลงานสวยๆ ของนักวาดรูปทั่วโลกที่สร้างสรรค์งานผ่านปลายปากกา S Pen ของ Galaxy Note และผู้ใช้งานที่เพิ่งหัดวาดรูปก็น่าจะชอบด้วยเช่นกัน เพราะสามารถทำเหมือนเป็นกระดาษลอกลาย แล้วหัดวาดตามรูปที่มีอยู่แล้วได้

สามารถกดปากกา S Pen เพื่อสั่งให้เครื่องปลดล็อกหน้าจอได้

ในขณะที่ปากกา S Pen ของ Note10 ถูกใส่ไว้ในช่อง เราก็สามารถนำปากกา S Pen อันอื่นมาใช้งานแทนได้ครับ เช่นปากกาของ Note9 ก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่ก็อาจจะต้องใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยนะครับ

กล้องถ่ายภาพ และกล้องวิดีโอของ Galaxy Note10 | Note10+

สำหรับกล้องถ่ายภาพของ Note10 และ Note10+ นั้น หากนับเฉพาะกล้องหลัก 3 ตัวนี้ ก็จะมีคุณสมบัติที่เหมือนกันทุกประการ ต่างกันที่ Note10+ จะมีกล้อง DepthVision เพิ่มเข้ามาอีกตัวเท่านั้น

ส่วนกล้องด้านหน้านั้นมีคุณสมบัติที่เหมือนกันทุกอย่าง ไม่มีจุดที่แตกต่างครับ

โดยกล้องหลังตัวแรกของ Note10+ นั้นเป็นกล้อง Ultra Wide 16 ล้านพิกเซล ที่มีมุมกว้าง 123 องศา พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, กล้องตัวที่สองเป็นกล้อง Wide-Angle 12 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง 2 ค่าคือ f1.5 กับ f2.4 พร้อมระบบโฟกัสภาพแบบ Super Speed Dual Pixel กับระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS, กล้องตัวที่สามเป็นกล้อง Telephoto 12 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสงขนาด f2.1 พร้อมระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และกล้องตัวที่สี่คือกล้อง DepthVision หรือกล้อง 3D ToF ส่วนติดๆ กันนั้นก็เป็นไฟแฟลช LED ที่มีมาให้ 1 ดวง

ซึ่งหากเราเลือกใช้กล้อง Ultra Wide ก็จะได้ภาพมุมกว้างพิเศษที่ 123 องศา ดังภาพตัวอย่างนี้

หากเลือกใช้กล้อง Wide-Angle ก็จะได้ภาพมุมกว้างปกติที่ 77 องศา ดังภาพตัวอย่างนี้

และหากเลือกใช้กล้อง Telephoto ก็จะได้ภาพระยะซูม 2 เท่า หรือ 45 องศา ดังภาพตัวอย่างนี้

แม้ว่ากล้องจะสามารถซูมภาพแบบ Optical ได้เพียงแค่ 2 เท่า แต่หากจำเป็นก็สามารถใช้การซูมแบบ Digital ได้สูงสุด 10 เท่า ซึ่งก็ดูมีคุณภาพที่พอใช้ได้ครับ

โหมด Live Focus นอกจากจะถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้แล้ว ก็ยังถูกอัปเกรดให้สามารถปรับเอฟเฟกต์ได้อีก 5 รูปแบบ ได้แก่ แบบ Big Circle ที่เป็นโบเก้กลมดวงใหญ่, แบบ Artistic ที่ปรับโบเก้ให้เป็นรูปทรงต่างๆ, แบบ Spin ที่สร้างการเบลอแบบหมุนเป็นวงกลม, แบบ Zoom และแบบ Color Point ที่เทสีเฉพาะตัวแบบ ซึ่งแต่ละแบบเราสามารถปรับได้ 7 ระดับ

มาพร้อมฟังก์ชัน Scene Optimizer ที่ช่วยตั้งค่ากล้องให้โดยอัตโนมัติตามสิ่งที่เรากำลังถ่าย ซึ่งสามารถแยกแยะได้ถึง 30 หมวดหมู่ เช่นที่ทดสอบอยู่นี้ก็คือดอกไม้, กลุ่มคน และภายในบ้าน

มีฟังก์ชัน Shot Suggestions ที่จะช่วยแนะนำการจัดวางองค์ประกอบของภาพที่เหมาะสมให้เราโดยอัตโนมัติ โดยจะปรากฏเป็นเส้นนำสายตา และวงแหวน เพื่อให้เราเลื่อนกล้องจนกว่าวงกลมจะเข้าไปอยู่ในวงแหวนนั้น

ด้วยความสามารถของกล้อง DepthVision จึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับแอปพลิเคชันได้หลายอย่างครับ เช่นแอปพลิเคชัน Quick Measure ที่สามารถวัดระยะห่างจากกล้องไปยังจุดต่างๆ ในสภาพแวดล้อมจริงได้

หรือแอปพลิเคชัน 3D Scanner ที่สามารถสแกนวัตถุในโลกความจริง ให้ออกมาเป็นโมเดล 3 มิติได้ โดยถือกล้องให้ห่างจากวัตถุประมาณ 20-80 เซนติเมตร แล้วค่อยๆ เคลื่อนที่ไปรอบๆ ให้ครบถ้วนตามพื้นที่สีน้ำเงินที่เห็น

ซึ่งเราสามารถบันทึกโมเดล 3 มิตินี้ให้เป็นไฟล์ GIF และแชร์ให้เพื่อนดูได้

ในโหมด Pro เราสามารถปรับตั้งค่าต่างๆ ได้เองอย่างอิสระ ตั้งแต่ค่าความไวแสง ที่ปรับได้สูงสุดที่ ISO800, ค่าความเร็วชัตเตอร์ โดยสามารถปรับค่ารูรับแสงได้ 2 ระดับคือ f1.5 กับ f2.4, ค่าสี และแสง, ระยะโฟกัส, สมดุลสีขาว ซึ่งสามารถปรับค่าอุณหภูมิสีเองได้ และค่าชดเชยแสง ที่ปรับได้ตั้งแต่ -2 ถึง +2

นอกจากนี้ก็ยังมีโหมด Panorama สำหรับถ่ายภาพมุมกว้าง, โหมด Night สำหรับถ่ายภาพกลางคืน ซึ่งถ่ายในที่มืดออกมาได้ดีเลยทีเดียว, โหมด Food สำหรับถ่ายภาพอาหาร, โหมด Slow Motion และโหมด Hyperlapse

และนี่ก็คือตัวอย่างของภาพถ่ายจากโหมดปกติ เทียบกับโหมดกลางคืน ซึ่งจะเห็นว่าหากใช้โหมดกลางคืนรายละเอียดต่างๆ ก็จะสว่างชัดเจนขึ้นมาก

ส่วนฟังก์ชันอื่นๆ ก็ค่อนข้างหลากหลายยืดหยุ่นครับ ทั้งฟังก์ชัน HDR, ระบบโฟกัสติดตามวัตถุ, การสั่งงานด้วยเสียง, การถ่ายภาพ Motion Photos

การใส่ฟิลเตอร์สีแบบต่างๆ, การตั้งเวลาถ่ายภาพล่วงหน้า และฟังก์ชันบิวตี้

ยังคงมากับฟังก์ชัน Bixby Vision ที่ช่วยวิเคราะห์สิ่งที่เห็น แล้วประมวลข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นๆ ให้โดยอัตโนมัติ เช่นสิ่งนั้นคืออะไร, มีราคาเท่าไหร่ หรือมีขายที่ไหน รวมทั้งข้อมูลของไวน์, การแปลงเป็นข้อความ, การสแกน QR Code, ข้อมูลสถานที่ และการแปลภาษาแบบสดๆ รวมทั้งสามารถทำงานร่วมกับแอปพลิเคชัน 3rd Party ได้หลายตัว

สำหรับการถ่ายวิดีโอ ฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่างแรกก็คือ Live Focus Video ที่ช่วยให้เราถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอได้ พร้อมการแสดงผลแบบ Real-Time โดยมีเอฟเฟกต์ให้เลือก 4 รูปแบบ ได้แก่เบลอปกติ, Big Circle ที่เป็นโบเก้ดวงใหญ่, Color Point ที่เทสีเฉพาะตัวแบบ และ Glitch ที่ดูเหมือนโทรทัศน์ที่สัญญาณล่ม

อีกฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาก็คือ Zoom-in Mic ที่จะช่วยเพิ่ม หรือลดระดับเสียงของวิดีโอตามระยะการซูมให้โดยอัตโนมัติ นั่นคือเมื่อเรายิ่งซูมเข้าไปใกล้กับแหล่งกำเนิดเสียงเท่าใด เสียงในวิดีโอก็จะดังขึ้นเท่านั้น และหากยิ่งซูมออกมาไกลเท่าใด เสียงก็จะเบาลงเท่านั้น ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาดของไมโครโฟนทั้ง 3 ตัวที่ด้านบน, ด้านล่าง และด้านหลัง

มีระบบป้องกันการสั่นแบบ Super Steady ที่ทำงานคล้ายกับกล้อง Action Camera โดยมีระบบ AI เข้ามาช่วยทำนายการเคลื่อนที่ของเฟรมล่วงหน้า จึงช่วยให้คลิปวิดีโอมีความนุ่มนวลไม่สั่นไหว แม้ต้องวิ่งถือกล้องถ่ายด้วยมือเปล่าก็ตาม พร้อมรองรับการปรับมุมกว้าง และมุมปกติขณะถ่าย เรียกว่าเหมาะกับสายแอดเวนเจอร์มากครับ

สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD ที่ความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาที

รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ HDR10+ พร้อมเทคโนโลยี Dynamic Tone Mapping

ยังคงสามารถถ่ายวิดีโอแบบ Super Slow Motion ได้ที่ความเร็วสูงสุด 960 เฟรมต่อวินาที และมีความละเอียดที่ระดับ HD 720p เช่นเดิม

ด้วยฟังก์ชัน AR Doodle ทำให้เราสามารถ Track ใบหน้าของแต่ละคน แล้วเอาปากกา S Pen วาดลงไปได้ โดยสิ่งที่วาดก็จะเคลื่อนที่ไปตามใบหน้าที่ Track เอาไว้ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นสำหรับการถ่ายวิดีโอที่น่าสนใจ

มีฟังก์ชันสำหรับการตัดต่อวิดีโอติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน รวมทั้งการใส่เอฟเฟกต์, ฟังก์ชันบิวตี้, การใส่คำบรรยาย, การใส่สติกเกอร์, การขีดเขียนด้วยปากกา, การปรับความเร็ว และการใส่เพลงประกอบ ซึ่งก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการตัดต่อวิดีโอแบบพื้นฐาน

หรือหากต้องการเครื่องมือตัดต่อวิดีโอที่ครบเครื่องจริงจังมากขึ้น ก็สามารถเข้าไปดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Adobe Premiere Rush for Samsung ใน Galaxy Store มาใช้งานได้

สำหรับกล้องด้านหน้าของ Note10 กับ Note10+ นั้นมีความละเอียดอยู่ที่ 10 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2 และมีระบบโฟกัสภาพแบบ Dual Pixel Autofocus อีกทั้งยังสามารถถ่ายภาพด้วยโหมด Live Focus กับถ่ายวิดีโอด้วยโหมด Live Focus Video ได้เช่นเดียวกับกล้องด้านหลังอีกด้วย

สามารถเซลฟี่มุมกว้างได้, สามารถปรับการเบลอได้ 7 ระดับ ซึ่งเท่าที่ดูระดับ 4 น่าจะกำลังดีครับ

และสามารถปรับความเนียนของผิวหน้าไปพร้อมกับโหมด Live Focus ได้ 8 ระดับ

หากเป็นการถ่ายเซลฟี่ในโหมดปกติ ก็สามารถถ่ายในมุมกว้างได้เช่นกัน พร้อมฟังก์ชันบิวตี้ กับใส่ฟิลเตอร์

นอกจากนี้ก็ยังมีโหมดเซลฟี่ในตอนกลางคืน, โหมดวิดีโอ

โหมด Live Focus Video ที่เลือกเอฟเฟกต์ได้ 4 รูปแบบเช่นเดียวกับกล้องหลัง และโหมด Hyperlapse

แม้จะเป็นกล้องหน้า แต่ก็สามารถรองรับการถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงถึงระดับ 4K UHD ที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที

ยังคงมาพร้อมกับฟังก์ชัน AR Emoji ที่สามารถสร้างตัวละคร 3 มิติจากใบหน้าของเราเองได้ รวมทั้งสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวได้ทั้งตัว ไม่เฉพาะแค่ใบหน้าเท่านั้น โดยสามารถปรับแต่งได้เองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชื่อ, ทรงผม, หนวดเครา, สีผิว, ดวงตา, คิ้ว, จมูก, ปาก, หู, กระ, เสื้อ, กางเกง, ชุดฟอร์ม, รองเท้า, หมวก, แว่นตา และตุ้มหู

หลังจากปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ จนเป็นที่พอใจแล้ว ก็สามารถกดสร้างตัวละครได้ทันที ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่อึดใจเดียวเราก็จะมี Emoji เท่ๆ ของตัวเองที่ไม่เหมือนใครไว้ใช้งานแล้ว

ซึ่งด้วยความสามารถด้านการถ่ายภาพระดับไฮเอนด์ข้างต้นนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจที่กล้องของ Note10+ จะได้รับคะแนนรวมจากสถาบันทดสอบชื่อดังอย่าง DxOMark มากถึง 113 คะแนน ซึ่งถือว่าเป็นคะแนนสูงที่สุดในขณะนี้เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนทุกรุ่นที่ทดสอบมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน

ระบบการทำงานพื้นฐาน และคุณสมบัติเบื้องต้น

สำหรับเครื่อง Note10+ ที่วางจำหน่ายในไทยในจะเป็นโมเดล SM-N975F/DS ส่วน Note10 จะเป็นโมเดล SM-N970F/DS

โดยเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ได้ใช้ชิปเซ็ตตัวท็อปใหม่ล่าสุดอย่าง Exynos 9825 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตตัวแรกของ Samsung ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมระดับ 7 นาโนเมตร และมาพร้อมกับหน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G76 MP12

ด้านหน่วยความจำแรม (RAM) ของ Note10+ นั้นมีขนาดใหญ่ถึง 12GB ส่วน Note10 มีขนาดอยู่ที่ 8GB

ด้านหน่วยความจำรอม (ROM) ของ Note10+ มีให้เลือก 2 ขนาดคือ 256GB กับ 512GB และใส่การ์ด microSD เพิ่มได้อีกสูงสุด 1TB ส่วน Note10 มีให้เลือกขนาดเดียวคือ 256GB และไม่สามารถใส่การ์ด microSD หรือแบบอื่นๆ เพิ่มได้

เซนเซอร์ตรวจจับที่สำคัญก็มีติดตั้งมาให้ครบถ้วน จะขาดไปก็เพียงบางอย่างเท่านั้น เช่นเซนเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจที่เคยมีใน Note9 นั้นก็จะถูกตัดออกไป

สำหรับเครื่อง Note10+ ที่รีวิวอยู่นี้ได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา

โดยทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ซึ่งถูกครอบทับด้วย One UI เวอร์ชัน 1.5

โดยจุดเด่นของ One UI ก็คือดีไซน์ที่สวยทันสมัย, สบายตา, ใช้งานได้ง่าย และเน้นดีไซน์ที่โค้งมน

ซึ่งการแบ่งการทำงานออกเป็น 2 หน้าจอ เราก็เพียงแค่เข้าไปที่หน้า Recent Apps แล้วกดที่ไอคอนด้านบนของแอปพลิเคชัน พร้อมเลือกเมนู Open in Split Screen View จากนั้นก็เลือกอีกแอปพลิเคชันที่ต้องการใช้งานคู่กัน เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วครับ

โดย Split Screen นี้ก็คือ Multi Window ที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้วนั่นเอง ซึ่งสามารถปรับขนาดของหน้าต่างได้, ใช้งานพร้อมกัน 2 แอปพลิเคชันได้อย่างอิสระ และรองรับการแสดงผลในแนวนอน

ฟีเจอร์ด้านการเล่นเกม

ด้วยสเปกระดับท็อป ทั้งชิปเซ็ต Exynos 9825, จีพียู Mali-G76 และ RAM ขนาดใหญ่ 12GB เราจึงสามารถเล่นเกมกราฟิกระดับสูงได้อย่างลื่นไหลไม่มีติดขัด

อีกทั้งยังมาพร้อมกับระบบระบายความร้อน Vapor Chamber ใหม่ที่ออกแบบให้บางขึ้น รวมทั้งมีหน่วยประมวลผล AI หรือ NPU ที่ช่วยจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมทั้งในด้านประสิทธิภาพ และการประหยัดพลังงาน

รวมทั้งรองรับระบบเสียงรอบทิศทางแบบ Dolby Atmos ที่พัฒนามาเพื่อการเล่นเกมโดยเฉพาะ

มีฟังก์ชัน Game Booster ที่ช่วยให้การเล่นเกมมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมฟังก์ชันที่ช่วยให้เราเล่นเกมได้ต่อเนื่องราบรื่น เช่นการดูการแจ้งเตือน, การแชทผ่าน Discord, การตรวจสอบอุณหภูมิ, การตรวจสอบหน่วยความจำ, การตรวจสอบแบตเตอรี่, การปิดกั้นการรบกวนขณะเล่นเกม, ระบบเสียง Dolby Atmos, การล็อกหน้าจออัตโนมัติ และแถบเครื่องมือแบบ Pop-Up

นอกจาก Game Booster แล้ว ในส่วนของ Game Launcher เราก็สามารถแชท หรือพูดคุยกับเหล่าเกมเมอร์ทั่วโลกผ่าน Discord ได้เช่นกัน

คุณสมบัติด้านการเชื่อมต่อ

ด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อก็จัดว่าอยู่ในระดับไฮเอนด์เช่นเดียวกันครับ ทั้งการรองรับเครือข่าย LTE Cat.20 ที่มีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดถึง 2.0 Gbps

รองรับเครือข่าย Wi-Fi 6 หรือ Wi-Fi 802.11ax ที่เร็วกว่า Wi-Fi 5 เดิมราว 30-40% หรือมีความเร็วดาวน์โหลดสูงสุดที่ 1.2 Gbps รวมทั้งมีการตอบสนองที่รวดเร็วกว่าเดิม และลดสัญญาณรบกวนในพื้นที่ ที่มีการใช้งานหนาแน่นได้ดีกว่าเดิม

และสามารถเพิ่มความเร็วในการดาวน์โหลดได้อีกด้วยฟังก์ชัน Download Booster ที่จะเปิดใช้งาน Wi-Fi และ LTE ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเมื่อเปิดแล้วก็จะปรากฏเป็นไอคอนที่แถบด้านบนแบบนี้ครับ

สำหรับระบบนำทาง หรือการระบุตำแหน่ง ก็สามารถใช้งานได้กับระบบดาวเทียมทั่วโลก ทั้ง GPS, Galileo, Glonass, BeiDou, QZSS และ SBAS ซึ่งประสิทธิภาพของการจับสัญญาณนั้นถือว่าดี และรวดเร็วมากครับ แม้ในขณะที่อยู่ในตัวอาคารก็ยังสามารถจับสัญญาณได้

รองรับเทคโนโลยีเชื่อมต่อไร้สายระยะใกล้แบบ NFC และ MST จึงสามารถใช้บริการแตะจ่ายเงินผ่านมือถือด้วยบริการต่างๆ ได้ โดยเฉพาะบริการ Samsung Pay นั่นเอง

ด้วยแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable จึงช่วยให้เราสามารถเชื่อมต่อ และจัดการกับอุปกรณ์สวมใส่ในตระกูล Galaxy ได้มากมาย เช่น Galaxy Watch, Galaxy Fit, Galaxy Buds และอื่นๆ ผ่านเทคโนโลยี Bluetooth 5.0 กับ ANT+

ด้วยแอปพลิเคชัน SmartThings เราจึงสามารถจัดการกับระบบบ้านอัจฉริยะได้ ด้วยการเชื่อมต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ภายในบ้านเข้าไว้ด้วยกัน และควบคุมการทำงานได้จากสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว อีกทั้งยังรองรับการใช้งานร่วมกับแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำอีกมากมาย

แบตเตอรี่

แบตเตอรี่ของ Note10+ นั้นมีความจุอยู่ที่ 4300mAh พร้อมรองรับระบบชาร์จเร็วด้วยกำลังไฟสูงสุด 45W แต่ในกล่องแถมแค่อะแดปเตอร์แบบ 25W มาให้นะครับ

หากต้องการชาร์จแบบ 45W ต้องซื้ออะแดปเตอร์แยกต่างหาก ส่วนแบตเตอรี่ของ Note10 มีความจุอยู่ที่ 3500 mAh พร้อมรองรับระบบชาร์จเร็วด้วยกำลังไฟสูงสุด 25W

ซึ่งทาง Samsung เคลมว่าชาร์จเพียงแค่ 30 นาที ก็สามารถใช้งานได้ตลอดวัน สำหรับการใช้งานทั่วๆ ไปของคนส่วนใหญ่

และที่น่าสนใจมากๆ ก็คือสามารถแชร์พลังงานให้กับสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับมาตรฐาน WPC Qi ได้ ผ่านฟังก์ชัน Wireless PowerShare ด้วยกำลังไฟสูงสุด 9W

ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่นำมาวางไว้บนด้านหลังตัวเครื่องของ Note10 หรือ Note10+ เท่านั้น

ส่วนโหมดการใช้งานแบตเตอรี่ ก็มีอยู่ 4 โหมดด้วยกัน ได้แก่ High Performance, Optimized, Medium Power Saving และ Maximum Power Saving

การใช้งานในรูปแบบของเครื่องเดสก์ท็อป หรือพีซี

สำหรับการใช้งานในรูปแบบของเครื่องพีซี หรือเดสก์ท็อป ผ่านทางฟีเจอร์ Samsung DeX ตอนนี้ก็ทำได้ง่ายขึ้นอีกครับ เพราะใช้แค่สาย USB แค่เส้นเดียวก็สามารถเชื่อมต่อได้แล้ว

อีกทั้งยังรองรับทั้งระบบปฏิบัติการ Windows และ macOS เรียกว่าเป็นการย้ายการทำงานจากจอเล็กๆ ของสมาร์ทโฟน มาสู่จอใหญ่ๆ ได้อย่างง่ายดายเพื่อการทำงานที่จริงจังมากขึ้น หรือจะใช้ทำงานแบบคู่ขนานกันไปก็ได้เช่นกัน รวมทั้งสามารถย้ายไฟล์ไปมาระหว่างกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจก็คือ Link to Windows ที่เราสามารถซิงค์รูปถ่ายล่าสุด, ข้อความ และการแจ้งเตือนต่างๆ จากสมาร์ทโฟน ไปยังเครื่องพีซีได้แบบไร้สาย

รวมทั้งสามารถใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ บนสมาร์ทโฟนได้ตามปกติ ไปพร้อมๆ กับที่เรากำลังทำงานอยู่บนเครื่องพีซี

ระบบรักษาความปลอดภัย

สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยด้วยการยืนยันตัวตนแบบชีวภาพ หรือ Biometrics ของ Note10 กับ Note10+ นั้นมีอยู่ 2 แบบด้วยกันครับ นั่นคือการสแกนใบหน้า และการสแกนลายนิ้วมือ แต่ก็น่าเสียดายเล็กน้อยที่ระบบสแกนม่านตานั้นถูกตัดออกไป โดยการใช้งานระบบสแกนใบหน้า หรือ Face Recognition ก่อนอื่นก็ให้เราเข้าไปลงทะเบียนใบหน้าให้เรียบร้อย ซึ่งในกรณีที่เป็นคนที่ใส่แว่นอยู่แล้ว ก็ให้ใส่แว่นสแกนได้ทันที เพื่อให้ระบบสามารถเก็บข้อมูลได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งยังสามารถตั้งค่าเพิ่มเติมได้หลายอย่าง เช่นการเพิ่มความเร็วของการสแกน หรือการเพิ่มความสว่างของหน้าจอเมื่อสแกนในที่มืด

สำหรับเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ Ultrasonic บนหน้าจอของ Note10 กับ Note10+ นั้นถูกปรับตำแหน่งให้เข้าใกล้กับหน้าจอมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้านี้อย่าง Galaxy S10 เพื่อให้สแกนได้ง่ายขึ้น ซึ่งรองรับการใช้งานร่วมกับทั้ง Samsung Pass และ Samsung Pay โดยวิธีการสแกนก็ง่ายๆ เพียงแค่ยกเครื่องขึ้นมา แล้ววางนิ้วทาบลงไปบนหน้าจอ ระบบก็จะทำการปลดล็อกหน้าจอให้ทันที

การใช้งาน Bixby ผู้ช่วยอัจฉริยะ

แน่นอนว่าผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Bixby ก็มีมาให้ใช้งานกันเช่นเดิม โดยการเข้าหน้าหลักของ Bixby เราก็เพียงแค่กดปุ่ม Power ติดๆ กัน 2 ครั้งเท่านั้น

ส่วนการสั่งงานด้วยเสียง หรือ Bixby Voice ก็สามารถใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ดีครับ โดยขั้นแรกก็ต้องช่วยให้ Bixby นั้นรู้จักเสียงของเราก่อน ด้วยการพูดว่า Hi, Bixby ซ้ำหลายๆ รอบ แต่อย่างไรก็ดี ตอนนี้ก็ยังคงไม่รองรับเสียงภาษาไทย

มีส่วนของคำสั่งด่วน หรือ Quick Commands ให้ใช้งาน ซึ่งเราสามารถสร้างคำสั่งเสียงใหม่ๆ ได้ตามต้องการ

และฟังก์ชันที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ Bixby Routine ซึ่งจะทำงานในลักษณะของชุดคำสั่งหลายๆ อย่างตามที่เรากำหนดไว้ เช่นหากถึงเวลา 6 โมงเช้า เราต้องการให้เครื่องเปิดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, เพิ่มความสว่างของหน้าจอ, เปิดเสียง และเปิดแอปพลิเคชันฟังเพลง เราก็สามารถให้ Bixby Routine ช่วยทำให้ได้โดยอัตโนมัติ เรียกว่าช่วยให้ชีวิตประจำวันของเราสะดวกสบายขึ้นครับ

ฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจของ Galaxy Note10 | 10+

นอกจากนี้ก็ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอีกมากมายครับ เช่นฟังก์ชัน Separate App Sound ที่สามารถแยกเสียงจากแอปพลิเคชันหนึ่ง ไปยังลำโพงภายนอกได้ เช่นในขณะที่เราฟังเสียงจากคลิป YouTube ด้วยลำโพงในตัว ในเวลาเดียวกันเราก็ยังสามารถเปิดฟังไฟล์เพลงที่ลำโพงบลูทูธได้ด้วย

มีฟังก์ชัน Edge Lighting สำหรับการแจ้งเตือนด้วยการเปล่งแสงบนขอบหน้าจอ ซึ่งเราสามารถปรับแต่งสไตล์ได้ตามใจชอบ ทั้งรูปแบบเอฟเฟกต์, สี, ความโปร่งใส, ความกว้าง และระยะเวลา

มีโหมดกลางคืน หรือ Night Mode ให้เลือกใช้งาน โดยในส่วนของเมนู หรือหน้าแสดงผลต่างๆ จะถูกเปลี่ยนให้เป็นสีดำ หรือโทนมืดแทน ซึ่งเหมาะสำหรับใช้งานในตอนกลางคืน อีกทั้งเรายังสามารถตั้งเวลาเปิด-ปิด Night Mode แบบอัตโนมัติได้ด้วย

โหมดสีสำหรับการแสดงผลมี 2 แบบคือ Vivid ที่เน้นความสดใส ซึ่งเราสามารถปรับอุณหภูมิสี กับค่าสมดุลสีขาวเองได้ กับแบบ Natural ที่เน้นความเป็นธรรมชาติสบายตา

สำหรับ Note10+ สามารถปรับความละเอียดของหน้าจอได้สูงสุดที่ระดับ WQHD+ ส่วน Note10 ปรับได้สูงสุดที่ระดับ FHD+

ยังคงมาพร้อมกับแถบเมนูที่ซ่อนอยู่ตรงขอบโค้งอย่าง Edge Panel ซึ่งมีทั้ง Apps Edge, People Edge, Tasks Edge, Weather, Quick Tools และอีกหลายๆ อย่างที่เราสามารถเลือกใส่เพิ่มเข้ามาได้

สำหรับ Navigation Bar นอกจากจะเลือกใช้แบบ 3 ปุ่มตามปกติได้แล้ว ก็ยังสามารถเลือกใช้แบบ Full Screen Gestures ได้ด้วย ซึ่งจะใช้การปัดนิ้วจากขอบจอด้านล่างแทน

มีฟังก์ชัน Video Enhancer สำหรับปรับการแสดงผลวิดีโอให้มีความสว่างมากขึ้น และมีสีสันสดใสมากขึ้น

มีฟังก์ชันยอดนิยมอย่าง Always On Display เช่นเคย พร้อมการปรับตั้งค่าได้หลากหลาย ทั้งการแตะเพื่อโชว์, โชว์ตลอดเวลา หรือโชว์ตามเวลาที่กำหนดไว้ รวมทั้งมีสไตล์ของนาฬิกาให้เลือกมากมาย

และมีฟังก์ชัน FaceWidgets ซึ่งช่วยให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่างๆ บนหน้าจอ Lock Screen

ในแอปพลิเคชัน Galaxy Themes มีคอนเทนต์ดีๆ ให้เราเลือกดาวน์โหลดมาใช้งานฟรีๆ มากมาย ทั้งภาพพื้นหลัง, ธีม, ไอคอน และ Always On Display

ด้วยฟังก์ชัน Dynamic Lock Screen ก็จะช่วยให้เรามีภาพพื้นหลังสวยๆ อยู่บนหน้าจอ Lock Screen ได้ แทนที่จะเป็นพื้นสีดำเรียบๆ อย่างเดียว

มีฟังก์ชัน Screen Recorder สำหรับบันทึกหน้าจอเป็นวิดีโอติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน ซึ่งรับเสียงได้ทั้งจากสิ่งที่ใช้งานอยู่ และจากไมโครโฟน, สามารถปรับความละเอียดได้สูงสุดที่ระดับ Full HD 1080p และสามารถใช้กล้องหน้าถ่ายตัวเองไปด้วยได้

รองรับการควบคุมการทำงานของตัวเครื่องด้วยการเคลื่อนไหว และท่าทาง ได้หลากหลายรูปแบบ เช่นเปิดหน้าจออัตโนมัติเมื่อยกเครื่องขึ้นมา, แตะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อเปิดหน้าจอ, เปิดหน้าจอค้างไว้หากสายตาเรามองอยู่ และอื่นๆ

รองรับการใช้งานแอปพลิเคชันโซเชียล หรือแชท ได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ภายในเครื่องเดียวด้วยฟังก์ชัน Dual Messenger

มีฟีเจอร์ Digital Wellbeing ซึ่งช่วยจัดการระยะเวลาของการใช้งานสมาร์ทโฟนในแต่ละวันให้มีความสมดุล ไม่มากจนเกินไป เรียกว่าเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยเยียวยาอาการของผู้ที่ติดมือถือนั่นเอง

สามารถย้ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเก่า มายัง Galaxy Note10 ได้ง่ายภายในไม่กี่คลิก ด้วยแอปพลิเคชัน Smart Switch ทั้งแบบผ่านสายดาต้า และแบบไร้สาย

สำหรับผู้ใช้มือใหม่ ก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะมีคู่มือสอนเทคนิคการใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ของ Note10 ติดตั้งไว้ให้แล้ว เช่นหากต้องการรู้ว่าปากกา S Pen ใช้งานอย่างไรได้บ้าง ก็กดเข้าไปดูได้ทันที และมีส่วนที่สรุปฟีเจอร์ใหม่ของ Note10 ไว้ให้

หรือหากต้องการคู่มือที่ละเอียดขึ้น ก็สามารถเข้าไปค้นหาในคู่มือออนไลน์ได้อีกครับ

ส่วนวิธีการปิดเครื่องก็มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างครับ วิธีแรกคือการกดปุ่มปิดเครื่องในเมนู Quick Panel, วิธีที่สองคือกดปุ่มลดเสียง และปุ่ม Power ค้างไว้พร้อมกัน และวิธีที่สามคือพูดกับ Bixby ว่า Turn Off the Phone แต่หากต้องการกดค้างที่ปุ่ม Power แบบที่คุ้นเคย ก็สามารถเข้าไปตั้งค่าใหม่ได้ครับ

ทดสอบประสิทธิภาพการทำงาน (Benchmark) ของ Galaxy Note10 | 10+

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark เวอร์ชัน 7.2.3 ก็พบว่าได้คะแนนรวมอยู่ที่ 344,322 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนที่สูงกว่า Galaxy S10+ ที่ใช้ชิปเซ็ต Exynos 9820

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน GeekBench ก็พบว่าได้คะแนนในส่วนของการประมวลผลแบบ Single-Core ที่ 2,769 คะแนน, ได้คะแนนในส่วนของการประมวลผลแบบ Multi-Core ที่ 9,640 คะแนน

และได้คะแนนในส่วนของ RenderScript ที่ 9,288 คะแนน

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการประมวลผลกราฟิกด้วยแอปพลิเคชัน 3DMark ก็พบว่าได้คะแนนในส่วนของ API แบบ OpenGL ES 3.1 ที่ 4,918 คะแนน และได้คะแนนในส่วนของ API แบบ Vulkan ที่ 4,677 คะแนน

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน PCMark ก็พบว่าได้คะแนนรวมอยู่ที่ 7,560 คะแนน

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยความจำด้วยแอปพลิเคชัน AndroBench ก็พบว่ามีความเร็วของการอ่านข้อมูลแบบ Sequential Read สูงถึง 1498.06 MB/s และมีความเร็วของการเขียนข้อมูลสูงถึง 586.69 MB/s ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เนื่องจากเป็นหน่วยความจำแบบ UFS 3.0 และเร็วกว่าหน่วยความจำ UFS 2.1 ของ Galaxy S10+ อยู่มากเลยทีเดียวครับ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ความละเอียด 16+12+12 ล้านพิกเซล + DepthVision ของ Samsung Galaxy Note10+

ตัวอย่างภาพถ่ายมุมกว้างพิเศษ (Ultra Wide 0.5x) 123 องศา, มุมกว้างปกติ (Wide Angle 1x) 77 องศา และมุมเทเล (Telephoto 2x) 45 องศา ตามลำดับ

ตัวอย่างภาพถ่ายมุมกว้างพิเศษ (Ultra Wide 0.5x) 123 องศา, มุมกว้างปกติ (Wide Angle 1x) 77 องศา และมุมเทเล (Telephoto 2x) 45 องศา ตามลำดับ

ตัวอย่างภาพถ่ายมุมกว้างพิเศษ (Ultra Wide 0.5x) 123 องศา, มุมกว้างปกติ (Wide Angle 1x) 77 องศา และมุมเทเล (Telephoto 2x) 45 องศา ตามลำดับ

ตัวอย่างภาพถ่ายมุมกว้างพิเศษ (Ultra Wide 0.5x) 123 องศา, มุมกว้างปกติ (Wide Angle 1x) 77 องศา และมุมเทเล (Telephoto 2x) 45 องศา ตามลำดับ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Live Focus แบบ Blur, Big Circle, Artistic, Spin, Zoom และ Color Point ตามลำดับ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดปกติ (Photo) เทียบกับถ่ายภาพจากโหมดกลางคืน (Night)

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดปกติ (Photo) เทียบกับถ่ายภาพจากโหมดกลางคืน (Night)

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดปกติ (Photo) เทียบกับถ่ายภาพจากโหมดกลางคืน (Night)

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดปกติ (Photo) เทียบกับถ่ายภาพจากโหมดกลางคืน (Night)

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดปกติ (Photo) เทียบกับถ่ายภาพจากโหมดกลางคืน (Night)

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดพาโนรามา (Panorama)

ตัวอย่างภาพถ่ายที่ระยะซูม 0.5x, 1x, 2x, 5x และ 10x ตามลำดับ

ตัวอย่างภาพถ่ายเพิ่มเติมจากโหมดปกติ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้า ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ของ Samsung Galaxy Note10+

ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่ปกติ พร้อมการเปิดฟังก์ชันปรับผิวเนียนระดับ 0, ระดับ 4 และระดับ 8 ตามลำดับ

ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่ด้วยโหมด Live Focus พร้อมเอฟเฟกต์แบบ Blur, Big Circle, Spin, Zoom และ Color Point ตามลำดับ

สรุปผลการทดสอบของ Samsung Galaxy Note10 | 10+

จริงๆ แล้วก็ยังมีลูกเล่นอีกเยอะมากเลยนะครับที่ยังไม่ได้พูดถึง แต่ที่รีวิวไปข้างต้นก็คือ ฟีเจอร์ใหม่ๆ และสิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษใน Galaxy Note10 และ Note10+ ซึ่งหากมีโอกาสก็จะมาเก็บตกเพิ่มเติมให้ครับ สรุปแล้วหากใครต้องการ สมาร์ทโฟนที่ดีที่สุด, ใช้งานได้หลากหลายที่สุด และมีงบประมาณค่อนข้างเยอะ Galaxy Note10 กับ Note10+ ก็คือคำตอบของท่าน ครับ ส่วนราคาจำหน่ายในไทยนั้นเริ่มต้นที่ 32,900 บาท สำหรับ Note10 รุ่นมาตรฐาน / 37,900 บาท สำหรับ Note10+ รุ่นความจุ 256GB และ 40,900 บาท สำหรับ Note10+ รุ่นความจุ 512GB ท่านใดที่สนใจตอนนี้ก็มีวางจำหน่ายแล้ว พร้อมโปรโมชั่นพิเศษมากมาย สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม พบกันได้ใหม่ในรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นต่อไป สวัสดีครับ

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy Note10 | 10+

- ถูกตัดฟีเจอร์บางอย่างออกไปจากรุ่นเดิม (Galaxy Note9) เช่นระบบสแกนม่านตา (Iris Scanner), ช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร และเซนเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Sensor) - หูฟังเป็นแบบ USB Type-C และในกล่องไม่แถมตัวแปลง USB Type-C to 3.5mm มาให้ - อแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ 45W ต้องซื้อแยกต่างหาก และให้กำลังไฟสูงสุด 45W เฉพาะกับ Note10+ เท่านั้น - รุ่น Note10 ไม่สามารถใส่การ์ดหน่วยความจำแบบ microSD หรือแบบอื่นๆ เพิ่มได้ - ยังไม่สามารถถ่ายวิดีโอ Super Slow Motion 960fps ที่ความละเอียดระดับ Full HD 1080p (ถ่ายได้ที่ความละเอียดระดับ HD 720p เช่นเดิม) - กล้องถ่ายภาพด้านหน้าเป็นกล้องเดี่ยว ไม่ใช่กล้องคู่เหมือนรุ่น Galaxy S10+ และมีรูรับแสงที่แคบกว่า - ระบบ Bixby Voice ยังไม่รองรับการใช้งานร่วมกับภาษาไทย

โปรดทราบ *

โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *

สรุปคุณสมบัติเครื่อง

ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy Note10 | 10+ ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้

Leave a Comment