รีวิว iPhone XS Max ไอโฟนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา! จอใหญ่สุด ชิปแรงสุด แบตเยอะสุด กล้องดีสุด รอมใหญ่สุด เสียงดีสุด เฟสไอดีเร็วสุด และตัวเครื่องกันน้ำดีสุด! :: Thaimobilecenter.com

ไอโฟนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา! ด้วยจอ Super Retina HD ใหญ่ที่สุด 6.5 นิ้ว, ชิปเซ็ต A12 Bionic ที่ทรงพลังที่สุด, กล้องคู่ที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิม, แบตเตอรี่ไอโฟนที่ใหญ่ที่สุด, รอมจุใจที่สุด, Face ID ที่เร็วขึ้น, มิติเสียงที่กว้างขึ้น และรองรับซิมคู่เป็นครั้งแรก บนตัวเครื่องสีทองใหม่ล่าสุดที่กันน้ำได้ดีกว่าที่เคย!

20 พฤศจิกายน 2018 - Apple ถือเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนระดับแนวหน้าที่ได้รับความสนใจทั้งจากสื่อ และผู้ใช้ทั่วโลก กับงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในแต่ละประเภท ซึ่งหนึ่งในไลน์ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ก็คงหนีไม่พ้นไอโฟน สมาร์ทโฟนตัวหลักของค่ายนั่นเอง และในปี 2018 นี้ทาง Apple ก็ได้เปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่พร้อมกันถึง 3 รุ่น ได้แก่ iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone XR ที่มาพร้อมกับการปรับโฉมดีไซน์ให้มีความพรีเมียมมากขึ้น ด้วยจอไร้ขอบ ไร้ปุ่มโฮมแบบ All-Screen พร้อมรอยบาก (Notch) ที่ด้านบน และครอบทับตัวเครื่องทั้งด้านหน้า และด้านหลังด้วยกระจกเหมือนกับ iPhone X ทุกประการ

สำหรับ iPhone XS Max มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาของไอโฟนตามชื่อรุ่น Max ที่ 6.5 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยี OLED Super Retina HD ความละเอียด 1242x2688 พิกเซล (458 ppi) ที่รองรับขอบเขตสีกว้างมากขึ้น จึงสามารถแสดงผลสีสันต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ และคมชัด รวมถึงฟีเจอร์ True Tone สำหรับช่วยปรับระดับแสงบนหน้าจอให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ด้วยเซ็นเซอร์ตรวจวัดแสงแบบ 6 ช่องสัญญาณ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ HDR10 พร้อมกับระบบเสียง Stereo ที่กว้างขึ้น ซึ่งจะรองรับการรับชมคอนเทนต์แบบ Dolby Vision และ HDR10 บน iTunes, Netflix และ Amazon Prime Video ส่วนตัวเครื่องครอบทับด้วยกระจก พร้อมกับกรอบที่ผลิตจากสแตนเลสสตีล ที่รองรับคุณสมบัติการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 ที่ระดับความลึก 2 เมตร ในเวลาไม่เกิน 30 นาที ซึ่งทาง Apple เคลมไว้ว่าไม่ได้ป้องกันเพียงแค่น้ำสะอาดเท่านั้น แต่ iPhone XS Max ยังสามารถกันน้ำชา และเบียร์ได้ด้วยเช่นกัน

ด้านสเปกภายในของ iPhone XS Max ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ด้วยการอัปเกรดมาใช้งานชิปเซ็ตรุ่นล่าสุดอย่าง Apple A12 Bionic แบบ 6 แกนประมวลผล (Hexa-Core) ที่นับเป็นชิปเซ็ตที่ใช้สถาปัตยกรรมการผลิตระดับ 7 นาโนเมตร รุ่นแรกๆ ของโลก พร้อมเทคโนโลยี Neural Engine เวอร์ชันใหม่ ที่มีประสิทธิภาพการประมวลผลเร็วขึ้น 15% และประหยัดพลังงานมากขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับ A11 Bionic ชิปรุ่นก่อน และรองรับ GPU แบบ 4 แกนประมวลผล (Quad-Core GPU) ที่ประมวลผลด้านกราฟิกได้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 50% โดยมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 12 ที่สามารถอัปเดตเป็น iOS 12.1 เวอร์ชันล่าสุดได้ และรองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง พร้อมทั้งแบบไร้สายมาตรฐาน Qi Wireless Charging รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยแบบ Face ID เวอร์ชันใหม่ ระบบสแกนใบหน้าแบบ 3 มิติ (3D Face Unlock) ที่สามารถตรวจสอบใบหน้าผู้ใช้งานได้อย่างแม่นยำ ผ่านการยิงลำแสงลงบนใบหน้าผู้ใช้งานกว่า 30,000 จุด และสามารถปลดล็อกด้วยใบหน้าได้ในสภาวะแสงน้อย หรือตอนกลางคืนได้อย่างรวดเร็ว ด้วยกล้องหน้าแบบ TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล พร้อมกล้องอินฟาเรด และเซ็นเซอร์ต่างๆ ที่บริเวณรอยบากนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีลุกเล่นที่น่าสนใจอย่าง Animoji และ Memoji สำหรับสร้างอิโมจิตัวการ์ตูนแบบ 3 มิติ ทั้งสัตว์ต่างๆ และการสร้าง Avatar ของคุณได้ตามที่ต้องการ โดยสามารถจับการเคลื่อนไหวตามใบหน้า ไปจนถึงลิ้นของผู้ใช้ได้ และแชร์ให้เพื่อนได้ง่ายๆ ผ่านทาง iMessages

iPhone XS Max มาพร้อมกับกล้องตัวหลักที่ด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แบ่งออกเป็นเลนส์มุมกว้าง (Wide-Angle) ที่มีขนาดรูรับแสง F/1.8 และเลนส์ Telephoto ที่มีขนาดรูรับแสง F/2.4 โดยรองรับระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Dual-OIS พร้อมโหมดถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ที่สามารถปรับระดับความเบลอ รวมถึงปรับแสงแบบ 3 มิติ (Portrait Lighting) ได้ในภายหลัง และการซูมภาพแบบ 2X Optical Zoom กับ 10X Digital Zoom รวมถึงการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD 60fps พร้อมระบบเสียงแบบ Stereo

จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า iPhone XS Max มีจุดเด่นที่น่าสนใจในหลายด้านเลยทีเดียว ทั้งการดีไซน์ตัวเครื่องสุดพรีเมียม และฟีเจอร์ระดับเรือธงแบบจัดเต็ม โดยเปิดราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเริ่มต้นที่ 43,900 บาท สำหรับการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์จะครบเครื่องจัดเต็มสมกับที่เป็นรุ่นเรือธงของค่ายหรือไม่ ขอเชิญทุกท่านรับชม รีวิว iPhone XS Max ไปพร้อมกันได้เลยค่ะ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

iPhone XS Max มาในแพ็กเกจสีขาวสะอาดตา

ภายในกล่องมีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น อะแดปเตอร์, สายเชื่อมต่อแบบ Lightning, หูฟัง EarPods แบบ Lightning, คู่มือการใช้งาน, สติกเกอร์โลโก้ Apple และเข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด

iPhone XS Max มาพร้อมหน้าจอ OLED Super Retina HD ไร้ขอบ ไร้ปุ่มโฮมแบบ All-Screen ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 1242x2688 พิกเซล (458 ppi) บนตัวเครื่องขนาด 157.5x77.4x7.7 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 208 กรัม

ที่ด้านบนหน้าจอตรงบริเวณรอยบาก (Notch) มีการติดตั้งกล้องอินฟาเรด, Flood Illuminator, Proximity Sensor, Ambient Light Sensor, ลำโพงสำหรับสนทนา, ไมโครโฟน, กล้องหน้าแบบ TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง F/2.2 และ Dot Projector ซึ่งรองรับการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait)

รวมถึงลูกเล่นที่น่าสนใจอย่าง Animoji และ Memoji

เซ็นเซอร์ต่างๆ ตรงรอยบากนี้จะทำงานร่วมกับฟังก์ชัน Face ID เวอร์ชันใหม่ที่สามารถปลดล็อกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการฉายจุดแสงจับโครงสร้างใบหน้า 30,000 จุด และสามารถปลดล็อกตัวเครื่องได้แม้ในที่แสงน้อย

สำหรับด้านล่างหน้าจอไม่มีปุ่มโฮม และปุ่มสั่งการใดๆ โดย iPhone XS Max ใช้ระบบการควบคุมแบบ Gesture Navigation ที่เป็นการลาก และปัดหน้าจอจากขอบด้านล่าง - ด้านบน เพื่อสั่งการ รวมถึงเข้าใช้งานเมนูต่างๆ

ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีเพียงแถบเสารับสัญญาณ 1 เส้น

และที่ด้านล่างของตัวเครื่องมีการติดตั้งแถบเสารับสัญญาณ, ลำโพงเสียงตัวหลักแบบ Stereo และพอร์ตการเชื่อมต่อแบบ Lightning

บริเวณด้านซ้ายของตัวเครื่องจะมีแถบเสารับสัญญาณ, ช่องสำหรับซิมการ์ดแบบ NanoSIM และปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอ / เปิด-ปิด เครื่อง / เรียกใช้งาน Siri / เข้าใช้งานบริการ Apple Pay

ส่วนที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีแถบเสารับสัญญาณ, ปุ่มสำหรับ เปิด-ปิด เสียง และปุ่มปรับระดับเสียง

iPhone XS Max ถอดแบบการดีไซน์มาจาก iPhone X ทุกประการ กับการครอบทับตัวเครื่องด้วยกระจกทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ส่วนกรอบผลิตจากวัสดุประเภทสแตนเลสสตีลที่มีความแข็งแรงทนทาน และรองรับระบบกล้องคู่ (Dual Camera) พร้อมไฟแฟลช LED จำนวน 4 ด้วง (Quad-LED) ในแนวตั้งที่มุมบนซ้ายของตัวเครื่อง

สำหรับกล้องตัวหลักที่ด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียดอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล มีรูรับแสง F/1.8+F/2.4 โดยรองรับการถ่ายภาพแบบ Live Photos, โหมด Portrait ที่สามารถปรับระดับความเบลอ และการจัดแสงแบบต่างๆ (Portrait Lighting) ในภายหลังได้ รวมถึงระบบป้องกันการสั่นไหวแบบ Dual-OIS, การซูมภาพแบบ 2X Optical Zoom และ 10X Digital Zoom และการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD 60fps พร้อมระบบเสียงแบบ Stereo นอกจากนี้ยังรองรับการบันทึกวิดีโอแบบ Slow Motion ความละเอียดสูงสุดที่ 1080p 240fps

เมื่อกล่าวถึงสมาร์ทโฟนที่มีการดีไซน์ตัวเครื่องแบบกระจก ก็จะต้องมาพร้อมการป้องกันมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับ iPhone XS Max รุ่นใหม่นี้ ที่มีหน้าจอไร้ขอบแบบ All-Screen พร้อมครอบทับตัวเครื่องด้วยกระจก ซึ่งหากตกแตก หรืออุบัติเหตุใดๆ ก็อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมสูง ในวันนี้ทางทีมงานจึงมาแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับ Focus Full Frame กระจกกันรอยแบบเต็มจอรุ่นใหม่สำหรับ iPhone XS Max

กระจกกันรอย Focus Full Frame มาพร้อมกับคุณสมบัติความแข็งแกร่งที่ระดับ 9H ปกป้องแบบเต็มจอ อีกทั้งยังป้องกันการเกิดรอยขีดข่วน และยังสัมผัสหน้าจอได้อย่างลื่นไหล พร้อมคงความสดใส คมชัดของหน้าจอไว้เช่นเดิม สำหรับกรณีตกกระแทกจนทำให้กระจกกันรอยเสียหาย ก็จะไม่แตกกระจาย และไม่บาดมือ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับการปกป้อง iPhone XS Max ของท่าน หากท่านใดสนใจนำเอากระจกกันรอย Focus Full Frame มาช่วยปกป้องหน้าจอของ iPhone XS Max ตอนนี้ก็มีวางจำหน่ายแล้วที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ หรือจะสั่งซื้อออนไลน์ก็ได้เช่นกัน

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

iPhone XS Max ที่ทีมงานนำมารีวิวให้ทุกท่านได้รับชมกันในวันนี้เป็นรุ่น 64GB สีเทา Space Grey โดยมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 12 ซึ่งทางทีมงานก็ได้อัปเดตให้เป็น iOS 12.1 เวอร์ชันล่าสุดแล้ว เพื่อให้ใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน

iPhone XS Max มาพร้อมกับ Interface ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Apple โดยในเริ่มแรกมีการติดตั้งแอปพลิเคชันบางส่วนสำหรับใช้งานในเบื้องต้นไว้แล้ว

เมื่อปัดนิ้วจากทางมุมจอด้านขวาบน จะเป็นการเรียกใช้งานเมนู Control Center ซึ่งการเรียกใช้งานจากด้านบนนี้เป็นเฉพาะรุ่น iPhone X ขึ้นไป เพราะไอโฟนรุ่นก่อนหน้าจะปัดขึ้นจากด้านล่าง และสามารถปรับแต่งเมนูในส่วน Control Center เองได้ด้วย โดยเข้าไปตั้งค่าที่ Customize Controls ซึ่งจะมีฟังก์ชันลัดต่างๆ ให้เลือกใช้อย่างหลากหลาย

ด้านการแสดงผล iPhone XS Max รองรับฟีเจอร์ True Tone สำหรับปรับระดับแสงบนหน้าจอให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เพื่อถนอมสายตาของผู้ใช้ เช่น ถ้าหากอยู่ในที่กลางแจ้ง iPhone XS Max จะเร่งแสงหน้าจอให้สว่างมากขึ้น แต่ถ้าอยู่ในที่แสงน้อย หน้าจอจะลดแสงลง พร้อมทั้งปรับสีให้ออกเหลือง เพื่อทำให้สายตาไม่เมื่อยล้าจนเกินไป

และเมื่อปัดนิ้วลงมาจากทางด้านซ้ายบนของหน้าจอ จะเป็นการเปิดหน้าแสดงการแจ้งเตือน หรือ Notification

เมื่อปัดหน้าจอมาทางด้านซ้ายสุดจะเป็นหน้าของ Widget ต่างๆ ของ iPhone XS Max ที่ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม Edit และเข้าไปปรับแต่ง Widget อื่นๆ ให้มาแสดงบนหน้าจอได้ตามที่ต้องการด้วยเช่นกัน

และในเมนูต่างๆ สามารถกด 3D Touch เพื่อดูฟังก์ชันอย่างละเอียดได้

เนื่องจาก iPhone XS Max ไม่มีปุ่มโฮมแบบกดเหมือนไอโฟนรุ่นก่อนๆ ทำให้เวลาเข้าใช้งานหน้าจอ Multitasking นั้น ผู้ใช้ต้องปัดนิ้วจากมุมล่างซ้ายไปตรงกลางหน้าจอ ก็จะเข้าใช้งานหน้าจอ Multitasking ได้ ส่วนการบังคับปิดแอปพลิเคชัน (Force Close) สามารถทำได้โดยการปัดหน้าของแอปพลิเคชันนั้นๆ ไปด้านบน

การเปลี่ยนภาพพื้นหลังหน้าจอสามารถทำได้โดยเข้าไปที่เมนู Wallpaper โดยรูปแบบภาพพื้นหลังหน้าจอของ iPhone XS Max มีให้เลือกด้วยกัน 3 แบบ คือ Dynamic (ภาพเคลื่อนไหวตลอดเวลา), Stills (ภาพนิ่ง) และ Live (จะเคลื่อนไหวเมื่อกด) หรือเลือกภาพจากในอัลบั้มได้

ทางด้านผู้ช่วยอัจฉริยะของทาง Apple อย่าง Siri ก็สามารถตั้งค่าใช้งานได้ทันที โดยผู้ใช้สามารถเลือกเปิดฟังก์ชัน Hey Siri เพื่อบันทึกรูปแบบเสียง และเรียก Siri ผ่านคำสั่งเสียงได้ทันที

iPhone XS Max ยังคงใช้งานระบบรักษาความปลอดภัยด้วยการสแกนใบหน้าแบบ 3 มิติอย่าง Face ID เหมือนกับ iPhone X โดยมาพร้อมเวอร์ชันใหม่ที่สามารถปลดล็อกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการฉายจุดแสงจับโครงสร้างใบหน้า 30,000 จุด และสามารถปลดล็อกตัวเครื่องได้แม้ในที่แสงน้อย

ซึ่งผู้ใช้สามารถบันทึกใบหน้าได้เพียง 1 ใบหน้า ต่อ 1 เครื่อง เท่านั้น โดยระบบสแกนใบหน้าจะสามารถปลดล็อกตัวเครื่องได้ก็ต่อเมื่อดวงตาของผู้ใช้มองที่หน้าจอด้วย ถ้าหากผู้ใช้หลับตาก็จะไม่สามารถปลดล็อกได้ นอกจากนี้ ด้วยความสามารถของชิปเซ็ตบวกกับ Face ID ทำให้ระบบสามารถเรียนรู้ใบหน้าของผู้ใช้ที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงได้ด้วย แม้ว่าผู้ใช้จะไว้หนวดไว้เครา หรือเปลี่ยนการตกแต่งใบหน้าอย่างไร ก็ยังสามารถปลดล็อกได้เช่นเคย

นอกจากการนำระบบสแกนใบหน้าไปใช้ในการรักษาความปลอดภัยของเครื่องแล้ว ยังรองรับการทำงานร่วมกับลูกเล่นที่น่าสนใจอย่าง Animoji ที่มีมาตั้งแต่รุ่น iPhone X รวมถึง Memoji ที่เพิ่งมาใหม่ล่าสุดบน iPhone XS Max สำหรับสร้างอิโมจิตัวการ์ตูนแบบ 3 มิติ ทั้งสัตว์ต่างๆ และการสร้าง Avatar ของคุณได้ตามที่ต้องการ โดยสามารถจับการเคลื่อนไหวตามใบหน้า ไปจนถึงลิ้นของผู้ใช้ได้ และแชร์ให้เพื่อนได้ง่ายๆ ผ่านทาง iMessages

สำหรับท่านที่ใช้งาน Apple Watch ด้วยก็สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone XS Max ได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน Watch และเริ่มใช้งานได้ทันที

iPhone XS Max เอาใจคนรักสุขภาพ และการออกกำลังกายด้วยแอปพลิเคชัน Activity เพื่อตรวจสอบการออกกำลังได้ โดยตัวเครื่องจะมีการบันทึกไว้ว่า ในแต่ละวันผู้ใช้เดินไปกี่ก้าว, เป็นระยะทางเท่าใด ฯลฯ อีกทั้งยังมีเมนูอื่นๆ ให้เลือกใช้งานอย่างครบครัน

สำหรับผู้ใช้อุปกรณ์ iDevice สามารถโทรหากัน หรือวิดีโอคอลกันผ่านทางแอปพลิเคชัน FaceTime ได้ทันที ซึ่งเป็นบริการที่มีให้เฉพาะผู้ใช้ iDevice เท่านั้น

แอปพลิเคชันต่างๆ ที่ต้องการใช้งานก็มีให้ดาวน์โหลดกันใน App Store ไม่ว่าจะเป็นเกม, การถ่ายภาพ, การทำวิดีโอ หรือแอปพลิเคชันอรรถประโยชน์ต่างๆ

อีกหนึ่งศูนย์รวมความบันเทิงบน iPhone XS Max ก็คือ iTunes Store ที่รวบรวมทั้ง ภาพยนตร์, เพลง และอื่นๆ ในด้านความบันเทิงไว้อย่างครบครัน

นอกจากนี้ยังรองรับบริการ Apple Music สำหรับฟังเพลงออนไลน์แบบสตรีมมิ่งได้ไม่จำกัด เพียงเดือนละ 129 บาท และยังได้รับสิทธิพิเศษในการทดลองใช้งานฟรีถึง 3 เดือนอีกด้วย

สามารถใช้งานในโหมดประหยัดพลังงาน (Low Power Mode) และตรวจสอบสถานะของแบตเตอรี่ได้ที่เมนู Battery โดยจะมีการแสดงพลังงานที่ใช้ไปในแต่ละแอปพลิเคชัน รวมถึงกราฟแสดงอัตราการลดลงของแบตเตอรี่ในระยะเวลา 24 ชั่วโมง หรือช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และฟังก์ชัน Battery Health สำหรับตรวจสอบสถานะความสมบูรณ์ของตัวแบตเตอรี่นั่นเอง

iPhone XS Max ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Apple A12 Bionic แบบ 6 แกนประมวลผล (Hexa-Core) พร้อมเทคโนโลยี Neural Engine เวอร์ชันใหม่ ที่มีประสิทธิภาพการประมวลผลเร็วขึ้น 15% และประหยัดพลังงานมากขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับ A11 Bionic ชิปรุ่นก่อน และรองรับ GPU แบบ 4 แกนประมวลผล (Quad-Core GPU) ที่ประมวลผลด้านกราฟิกได้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 50%

โดยทดสอบการประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ได้คะแนนอยู่ที่ 366,470 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 4 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 4,823 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 11,486 คะแนน

สำหรับการทดสอบด้านกราฟิกด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark ได้คะแนน 3,586 คะแนน

ในส่วนของเว็บเบราว์เซอร์ก็ตอบสนองต่อการใช้งานได้ดี ไหลลื่น และสามารถแสดงเนื้อหาทั้งหมดได้อย่างถูกต้องครบถ้วน และเปิดได้หลายหน้าพร้อมกัน

จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสามมิติอย่าง Asphalt 9, Tekken และ Marvel Future Fight ก็พบว่า iPhone XS Max นั้นสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างไหลลื่น ไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุกให้ได้เห็น แต่จะมีการสะสมความร้อนเมื่อเล่นเกมต่อเนื่องเป็นเวลานาน

และจากที่ iPhone XS Max มาพร้อมกับหน้าจอ OLED Super Retina HD แบบ All-Screen ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 1242x2688 พิกเซล จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ

กล้องดิจิทัล การถ่ายภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ

iPhone XS Max มาพร้อมกล้องตัวหลักที่ด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดรูรับแสง F/1.8+F/2.4 โดยมี Interface หน้าตาเรียบง่ายสบายตา และมีปุ่มเมนูฟังก์ชันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ไฟแฟลช, Live Photos, การตั้งเวลาถ่ายภาพ และฟีลเตอร์ต่างๆ ให้ได้ใช้งานครบครัน

สำหรับการตั้งค่าอื่นๆ สามารถเข้าไปปรับได้ในเมนู Setting

ในโหมดการถ่ายภาพบุคคล หรือ Portrait สามารถปรับแสงแบบ 3 มิติ (Portrait Lighting) ได้ 5 รูปแบบ ได้แก่ Natural Light (Default), Studio Light, Contour Light, Stage Light และ Stage Light Mono

รวมถึงการปรับระดับความเบลอได้ตั้งแต่ F/1.4 + F/16 ทั้งก่อน และหลังถ่ายภาพ

โดยค่า Default ของระดับการเบลอจะอยู่ที่ F/4.5

ตัวอย่างการปรับแสงแบบ 3 มิติ และระดับความเบลอหลังการถ่ายภาพ

iPhone XS Max รองรับการถ่ายภาพแบบ Square (อัตราส่วน 1:1) และ Pano การถ่ายภาพในมุมกว้าง

นอกจากนี้ iPhone XS Max ยังรองรับระบบการซูมภาพแบบ 2X Optical Zoom พร้อม 10X Digital Zoom อีกด้วย

iPhone XS Max รองรับการบันทึกวิดีโอแบบปกติ (รองรับการซูม 2X Optical Zoom และ X6 Digital Zoom), Slo-Mo และ Time-Lapse

โดยสามารถบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD 60fps พร้อมระบบเสียงแบบ Stereo และรองรับการบันทึกวิดีโอแบบ Slow Motion ความละเอียดสูงสุดที่ 1080p 240fps

สำหรับกล้องหน้าของ iPhone XS Max เป็นแบบ TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล โดยมี Interface หน้าตาเรียบง่ายสบายตา และมีปุ่มเมนูฟังก์ชันต่างๆ เหมือนกับกล้องหลัง ได้แก่ ไฟแฟลช, Live Photos, การตั้งเวลาถ่ายภาพ และฟีลเตอร์ต่างๆ

กล้องหน้าแบบ TrueDepth มีความสามารถในการตรวจจับระยะลึกตื้น iPhone XS Max จึงสามารถถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ หรือ Portrait ได้ด้วยกล้องหน้า และสามารถปรับแสงแบบ 3 มิติ (Portrait Lighting) ได้ 5 รูปแบบ ได้แก่ Natural Light (Default), Studio Light, Contour Light, Stage Light และ Stage Light Mono

รวมถึงการปรับระดับความเบลอได้ตั้งแต่ F/1.4 + F/16 ทั้งก่อน และหลังถ่ายภาพ ซึ่งจะมีค่า Defaulf ที่ F/4.5 เหมือนกับกล้องหลัง

รองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ 1080p 60fps

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังคู่ Dual Camera ความละเอียดระดับ 12 ล้านพิกเซล ของ iPhone XS Max

ภาพถ่ายในโหมดปกติ

ภาพจากการซูมแบบ 2X Optical Zoom และ 10X Digital Zoom

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait

ภาพถ่ายในที่แสงน้อย

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้า TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ของ iPhone XS Max

ภาพถ่ายในโหมดปกติ

ภาพถ่ายในโหมด Portrait (F/4.5) พร้อมปรับแสงแบบ Natural Light

ภาพถ่ายในโหมด Portrait (F/6.3) พร้อมปรับแสงแบบ Studio Light และ Contour Light

ภาพถ่ายในโหมด Portrait (F/6.3) พร้อมปรับแสงแบบ Stage Light และ Stage Light Mono

สรุปผลการทดสอบของ iPhone XS Max

สำหรับ iPhone XS Max ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปที่มีความน่าสนใจ ตั้งแต่ ขนาดหน้าจอ 6.5 นิ้วที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาไอโฟน บนการดีไซน์ไร้ขอบ ไร้ปุ่มโฮมแบบ All-Screen พร้อมเทคโนโลยี OLED Super Retina HD ความละเอียด 1242x2688 พิกเซล (458 ppi) ที่รองรับขอบเขตสีกว้างมากขึ้น จึงสามารถแสดงผลสีสันต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ และคมชัด ซึ่งรองรับฟีเจอร์ True Tone สำหรับช่วยปรับระดับแสงบนหน้าจอให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ด้วยเซ็นเซอร์ตรวจวัดแสงแบบ 6 ช่องสัญญาณ รวมถึงรองรับการรับชมคอนเทนต์แบบ Dolby Vision และ HDR10 โดยตัวเครื่องนั้นครอบทับด้วยกระจกทั้งที่ด้านหน้า และด้านหลัง ผสานกรอบตัวเครื่องสแตนเลสสตีล ที่มีคุณสมบัติการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 เทียบกับระดับความลึก 2 เมตร ในเวลาต่อเนื่องกันไม่เกิน 30 นาที ซึ่งทาง Apple เคลมไว้ว่าไม่ได้ป้องกันเพียงแค่น้ำสะอาดเท่านั้น แต่ iPhone XS Max ยังสามารถกันน้ำชา และเบียร์ได้อีกด้วย

บริเวณรอยบาก (Notch) ที่ด้านบนหน้าจอของ iPhone XS Max มีการติดตั้ง กล้องอินฟาเรด พร้อมกับเซ็นเซอร์ต่างๆ และกล้องหน้าแบบ TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง F/2.2 และ Dot Projector โดยจะทำงานร่วมกับ Face ID ระบบรักษาความปลอดภัยด้วยการสแกนใบหน้าแบบ 3 มิติเวอร์ชันใหม่ ที่สามารถปลดล็อกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการฉายจุดแสงจับโครงสร้างใบหน้ากว่า 30,000 จุด และสามารถปลดล็อกตัวเครื่องได้แม้ในที่แสงน้อย นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับลูกเล่นที่น่าสนใจอย่าง Animoji ที่มีมาตั้งแต่รุ่น iPhone X รวมถึง Memoji ที่เพิ่งมาใหม่ สำหรับสร้างอิโมจิตัวการ์ตูนแบบ 3 มิติ ทั้งสัตว์ต่างๆ และการสร้าง Avatar ของคุณได้ตามที่ต้องการ โดยสามารถจับการเคลื่อนไหวตามใบหน้า ไปจนถึงลิ้นของผู้ใช้ได้ และแชร์ให้เพื่อนได้ง่ายๆ ผ่านทาง iMessages

ในส่วนของกล้องตัวหลักที่ด้านหลังก็เป็นแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/1.8+F/2.4 โดยรองรับการถ่ายภาพแบบ Live Photos, โหมด Portrait ที่สามารถปรับระดับความเบลอตั้งแต่ F/1.4 - F/16 และการจัดแสงแบบ 3 มิติ (Portrait Lighting) ได้ถึง 5 รูปแบบ ได้แก่ Natural Light, Studio Light, Contour Light, Stage Light และ Stage Light Mono ทั้งก่อน และหลังการถ่ายภาพ รวมถึงระบบป้องกันการสั่นไหวแบบ Dual-OIS , การซูมภาพแบบ 2X Optical Zoom และ 10X Digital Zoom และการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD 60fps พร้อมระบบเสียงแบบ Stereo นอกจากนี้ยังรองรับการบันทึกวิดีโอแบบ Slow Motion ความละเอียดสูงสุดที่ 1080p 240fps ด้วยเช่นกัน

สเปกภายในของ iPhone XS Max ก็จัดเต็มขึ้นกว่ารุ่นก่อนในหลายด้าน เริ่มตั้งแต่การขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Apple A12 Bionic แบบ 6 แกนประมวลผล (Hexa-Core) ซึ่งเป็นชิปเซ็ตรุ่นแรกๆ ของโลกที่ใช้สถาปัตยกรรมการผลิตระดับ 7 นาโนเมตร พร้อมเทคโนโลยี Neural Engine เวอร์ชันใหม่ ที่มีประสิทธิภาพการประมวลผลเร็วขึ้น 15% และประหยัดพลังงานมากขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับ A11 Bionic ชิปรุ่นก่อน และรองรับ GPU แบบ 4 แกนประมวลผล (Quad-Core GPU) ที่ประมวลผลด้านกราฟิกได้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 50% โดยทำคะแนนจากแอปพลิเคชันทดสอบชื่อดังอย่าง AnTuTu Benchmark ได้ที่ 366,470 คะแนน และมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 12 ที่สามารถอัปเดตเป็น iOS 12.1 เวอร์ชันล่าสุดได้ รวมถึงรองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง พร้อมทั้งแบบไร้สายมาตรฐาน Qi Wireless Charging นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE Cat16 พร้อมการเชื่อมต่อไร้สายแบบ Bluetooth 5.0 และ NFC

และจากการทดสอบทั้งหมดพอจะสรุปได้ว่า iPhone XS Max เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนระดับท็อป พร้อมการดีไซน์สมัยนิยมที่มีความพรีเมียมด้วยจอไร้ขอบอัตราส่วนใหม่ที่ช่วยให้ใช้งานในด้านต่างๆ ได้เต็มตามากขึ้น และมีคุณสมบัติภายในระดับท็อปแบบจัดเต็ม เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในระดับไฮเอนด์ได้อย่างครบครัน รวมถึงการถ่ายภาพ Portrait ในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถปรับแต่งในภายหลังได้ แต่อย่างไรก็ดี ด้วยราคาเริ่มต้นที่สูงถึง 43,900 บาท ผู้ที่จะซื้อก็ต้องมีงบประมาณที่สูงด้วยเช่นกัน

iPhone XS Max มาพร้อมกับตัวเลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีเงิน, สีเทา (Space Grey) และสีทอง โดยวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ว แบ่งออกเป็น 3 รุ่นความจุ ดังนี้

- รุ่นความจุ 64GB ราคา 43,900 บาท - รุ่นความจุ 256GB ราคา 49,900 บาท - รุ่นความจุ 512GB ราคา 57,900 บาท

สำหรับ iPhone XS Max ราคาพิเศษก็มีวางจำหน่ายผ่านทางผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือทั้ง 3 ค่าย และตัวแทนจำหน่ายชั้นนำ ท่านใดที่สนใจก็สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการทุกสาขาใกล้บ้าน สำหรับวันนี้ทีมงาน Thaimobilecenter ต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ในรีวิวฉบับหน้า สวัสดีค่ะ

จุดเด่นของ iPhone XS Max

- ตัวเครื่องใช้ดีไซน์แบบ Metal-Glass โดยกรอบตัวเครื่องผลิตจากโลหะสแตนเลสแบบเดียวกันกับที่ใช้ผลิตเครื่องมือศัลยกรรม พร้อมครอบทับด้วยกระจกทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ช่วยให้ตัวเครื่องมีความหรูหราพรีเมียมมากยิ่งขึ้น - คุณสมบัติการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 (เทียบเท่าการจมอยู่ใต้น้ำที่ความลึก 2 เมตร ต่อเนื่องเป็นเวลาสูงสุด 30 นาที) - จอแสดงผล OLED Super Retina HD Display ไร้ขอบแบบ All-Screen ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2688x1242 พิกเซล (458 ppi) พร้อมฟีเจอร์ 3D Touch - ชิปเซ็ตประมวลผล Hexa-Core 64-bit Apple A12 Bionic บนสถาปัตยกรรมการผลิตระดับ 7 นาโนเมตร พร้อมเทคโนโลยี Neural Engine เวอร์ชันใหม่ - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Apple Quad-Core GPU - หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB (รุ่นที่นำมารีวิว) หรือ 256GB และ 512GB - กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 12 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว่าง (Wide-Angle) มีรูรับแสงกว้างที่ระดับ F/1.8 พร้อมเลนส์ตัวที่สองแบบ Telephoto มีรูรับแสงกว้างที่ระดับ F/2.4 โดยรองรับการซูมภาพแบบ 2x Optical Zoom และ 10x Digital Zoom, โหมดถ่ายภาพแบบ Portrait และฟีเจอร์การจัดแสงแบบ 3 มิติ (Portrait Lighting), ฟีเจอร์ Smart HDR, ระบบป้องกันการสั่นแบบ Dual-OIS (Dual Optical Image Stabilization) ซึ่งรองรับการถ่ายวิดีโอคมชัดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD (2160p : 3840x2160 พิกเซล : 60 fps) และถ่ายวิดีโอแบบ Slo-Mo สูงสุดที่ระดับ Full HD (1080p : 1920x1080 พิกเซล : 240 fps) รวมถึงระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS (Optical Image Stabilization) สำหรับการถ่ายภาพวิดีโอ - กล้องดิจิทัลด้านหน้า TrueDepth ความละเอียดระดับ 7 ล้านพิกเซล มีรูรับแสง F/2.2 พร้อมโหมดถ่ายภาพแบบ Portrait และการจัดแสงแบบ 3 มิติ (Portrait Lighting) รวมถึงฟังก์ชัน Animoji และ Memoji สำหรับทำภาพอีโมจิให้แสดงอารมณ์ และลักษณะการเคลื่อนไหวบนใบหน้าแบบเดียวกับผู้ใช้ - แบตเตอรี่ Li-Ion Polymer 3179 mAh - ระบบปฏิบัติการ iOS 12 - ระบบ Face ID การสแกนใบหน้าแบบ 3 มิติ สำหรับตรวจสอบสิทธิ์ของการเข้าใช้งานเครื่อง - ลำโพงเสียงแบบ Stereo Speaker ในตัว (ลำโพงที่ด้านบน และด้านล่างของตัวเครื่อง) - รองรับวิดีโอแบบ Dolby Vision และ HDR10 - รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac เทคโนโลยี 2x2 MIMO, Bluetooth 5.0 - รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สายแบบ NFC - รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE Cat16, 3G HSPA+, EDGE และ GPRS

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ iPhone XS Max

- ตัวเครื่องด้านหลังถูกครอบทับด้วยกระจกจึงอาจทำให้เกิดรอยนิ้วมือ และเสี่ยงต่อการตกแตกได้ง่าย - การเข้าถึงเมนูด้วยการปัดนิ้วจากมุมหน้าจอ ทั้งด้านซ้าย และขวาอาจไม่สะดวกต่อการใช้งานมือเดียว - ไม่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID เป็นระบบรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง - ไม่รองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD Card - ไม่มีช่องเชื่อมต่อหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตร - ไม่มีอะแดปเตอร์ Fast Charging และแท่นชาร์จไร้สายแถมมาให้ในชุดขายมาตรฐาน (ต้องซื้อแยกต่างหาก) - ราคาวางจำหน่ายค่อนข้างสูงมาก เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน

สรุปคุณสมบัติเครื่อง

ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ iPhone XS Max ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้

สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ iPhone XS Max (64GB)

Leave a Comment