รีวิว OPPO F9 สวยฉลาดน่าคบ ฟีเจอร์จัดเต็มแบบจบๆ ในงบหมื่นต้นๆ ด้วยจอ Waterdrop, ระบบชาร์จเร็ว VOOC, ชิป AI Helio P60, RAM 6GB, กล้องหลังคู่ AI, กล้องหน้า AI Beauty 25 ล้านพิกเซล และ Dual 4G:: Thaimobilecenter.com

สวยฉลาดน่าคบ ฟีเจอร์จัดเต็มแบบจบๆ ในงบหมื่นต้นๆ ด้วยจอ Waterdrop FHD+ 6.3 นิ้ว ใหญ่เต็มตาสุดขอบกว่าที่เคย, แบตเตอรี่ VOOC Flash Charge ชาร์จ 5 นาที คุยได้ 2 ชั่วโมง, ชิปเซ็ต AI Helio P60, RAM จุใจ 6GB, กล้องหลังคู่ AI 16 ล้านพิกเซล, กล้องหน้า AI Beauty 25 ล้านพิกเซล และเทคโนโลยี Dual 4G บนตัวเครื่องสีไล่เฉดงดงามสะดุดตา

10 กันยายน 2018 - เรียกได้ว่าไม่ปล่อยให้รอนานกันเลยสำหรับ OPPO F9 มือถือเซลฟี่น้องใหม่จากค่าย OPPO ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในบ้านเราไปแบบสดๆ ร้อนๆ กับการดีไซน์โฉมใหม่หมดจดที่สวยสะดุดตามากขึ้น ด้วยจอไร้ขอบ Waterdrop Screen แบบใหม่ในอัตราส่วน 19.5:9 กับรอยบากขนาดเล็กลง เหลือพื้นที่สำหรับกล้องหน้าเซลฟี่และลำโพงสนทนาเท่านั้น ส่วนด้านหลังโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีการเคลือบผิวสัมผัสแบบกระจก (Glossy Design) พร้อมการไล่เฉดสี และลวดลายคล้ายกลีบดอกไม้

มาดูกันที่ฟีเจอร์เด่นก็จัดมาให้ครบครันเช่นเคย เริ่มที่หน้าจอขนาดใหญ่ 6.3 นิ้ว พร้อมความคมชัดระดับ Full HD+ พร้อมขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต MediaTek Helio P60 จับคู่ RAM 6GB บนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo ครอบทับด้วย ColorOS 5.2 และที่สำคัญ OPPO F9 ยังเป็นรุ่นแรกของสมาร์ทโฟน F-Series ที่อัปเกรดมาใช้งานกล้องหลังคู่ (Dual Camera) กับความคมชัด 16+2 ล้านพิกเซล พร้อมโหมดหน้าชัดหลังเบลอ(AI Portrait) ผสานพลังกล้องหน้า 25 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ HDR และเทคโนโลยี AI Beauty 2.1 เวอร์ชันล่าสุด รวมถึงสติ๊กเกอร์ลูกเล่นสุดน่ารักที่ช่วยให้การเซลฟี่มีสีสันกว่าเดิม นอกจากนี้ OPPO F9 ยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge ที่ชาร์จเพียง 5 นาที ก็สามารถคุยโทรศัพท์ได้นานถึง 2 ชั่วโมง และรองรับระบบรักษาความปลอดภัยถึงสองชั้นทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และการสแกนใบหน้า

จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า OPPO F9 มีจุดเด่นที่น่าสนใจในหลายด้านเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ตัวเครื่องสุดพรีเมียม หรือฟีเจอร์จัดเต็ม รวมถึงการใช้งานกล้องคู่ครั้งแรกของซีรีส์ กับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่ 10,990 บาท ถือได้ว่าคุณสมบัติตัวเครื่องที่ได้เมื่อเทียบกับราคานั้นค่อนข้างสมเหตุสมผล ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์จะครบเครื่องจัดเต็มสมกับที่เป็นรุ่นเรือธงของค่ายหรือไม่ ขอเชิญทุกท่านรับชมรีวิวOPPO F9 พร้อมกันได้เลยครับ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

เริ่มต้นที่แพ็กเกจกันก่อน OPPO F9 มาพร้อมกับกล่องบรรจุภัณฑ์สีขาวสะอาดตา ที่ด้านหน้ามีการพิมพ์โลโก และภาพของ OPPO F9 ที่มีการปรับโฉมดีไซน์ใหม่เอาไว้ให้เห็นแบบเด่นชัด ซึ่งสีที่ทีมงานได้รับมารีวิววันนี้นั่นคือ สีแดงไล่เฉด Sunrise Red นั่นเองครับ

ที่ด้านบนระบุขนาด RAM และความจุ ROM ซึ่ง OPPO F9 ที่นำเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทย ณ ขณะนี้มีเพียงรุ่นความจุเดียวคือรุ่น RAM 6GB + ROM 64GB ครับ

สำหรับอุปกรณ์ภายในกล่องถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ เริ่มตั้งแต่ เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด, คู่มือประกอบการใช้งาน และเคสใส

หูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มม. แบบ Earbuds, สาย microUSB สำหรับเสียบชาร์จไฟ หรือโอนถ่ายข้อมูล และอะแดปเตอร์สำหรับชาร์จไฟ ซึ่งสำหรับสาย microUSB และอะแดปเตอร์ชาร์จไฟที่แถมมาให้ภายในกล่อง OPPO F9 รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ VOOC Flash Charge ทั้งคู่ครับ

ข้ามมาดูที่ตัวเครื่องกันบ้าง OPPO F9 มาพร้อมกับแพนแนลจอแบบ LTPS TFT ขนาด 6.3 นิ้ว, ความละเอียดระดับ Full HD+ (2340x1080 พิกเซล), อัตราส่วนในการแสดงผลแบบ 19.5:9 บนดีไซน์แบบใหม่ในชื่อ Waterdrop Screen ซึ่งเป็นการขยายพื้นที่จอทั้งสี่ด้านให้ชิดกับขอบเครื่องมากยิ่งขึ้น พร้อมปรับขนาด Notch ที่ด้านบนให้เล็กลงคล้ายกับหยดน้ำ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการแสดงผลให้มากเต็มตาที่ระดับ 90.8% นอกจากนี้ ขอบด้านซ้ายและด้านขวาของตัวเครื่องยังมาพร้อมกับความบางเฉียบเพียงแค่ 1.7 มม. เท่านั้น

ด้าหนน้าส่วนบนของหน้าจอมาพร้อมกับลำโพงสำหรับฟังขณะสนทนา, กล้องดิจิทัลความละเอียดระดับ 25 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0, ระบบ Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม, ระบบ Accelerometer Sensor สำหรับหมุน หรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอแบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ และระบบ Proximity Sensor สำหรับเปิด-ปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติ เพื่อประหยัดพลังงาน โดยจะสังเกตเห็นได้ว่าเลนส์กล้องหน้า และเซ็นเซอร์ต่างๆค่อนข้างจะมีความดำสนิทเรียบเนียนไปกับหน้าจอ เนื่องมาจาก OPPO F9 มีกระบวนการเคลือบผิวหน้าจอทับอีกชั้นนั่นเอง

สำหรับด้านหน้าส่วนล่างของหน้าจอไม่มีปุ่มควบคุมแบบ Physical แต่ทดแทนด้วยปุ่มควบคุมแบบสัมผัสบนหน้าจอ (On-Screen Navigation Buttons) ซึ่งประกอบไปด้วย ปุ่ม Recent Apps สำหรับเรียกดูรายชื่อแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง, ปุ่ม Home สำหรับกลับไปยังหน้าโฮมสกรีน และปุ่ม Back สำหรับย้อนกลับไปยังหน้าก่อนหน้านี้

ด้านบนของตัวเครื่อง มาพร้อมกับไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน

ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ลำโพงเสียงภายนอก, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ หรือโอนถ่ายข้อมูล, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา และช่องเสียบหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มม. สำหรับเปิด-ปิด หรือล็อกหน้าจอ

ด้านซ้ายของตัวเครื่อง มาพร้อมกับถาดใส่ซิมการ์ด และปุ่มเพิ่ม-ลด ระดับเสียง

สำหรับถาดใส่ซิมการ์ดของ OPPO F9 เป็นแบบ Triple-Slot ซึ่งผู้ใช้สามารถใช้งานสองซิมการ์ดไปพร้อมกับการเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card ความจุสูงสุด 256GB

ด้านขวาของตัวเครื่อง มีปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิด หรือล็อกหน้าจอ โดยหากสังเกตจะเห็นได้ว่าขอบตัวเครื่องของ OPPO F9 มีการไล่เฉดสีเพื่อช่วยเพิ่มสีสันให้แก่ตัวเครื่องด้วย

ด้านหลังของตัวเครื่องมาพร้อมบอดี้แบบไล่เฉดสี (Gradient Color) เหมือนกับขอบด้านข้างเช่นเดียวกัน พร้อมกับเสริมความสวยงามด้วยลวดลายกลีบดอกไม้ที่สามารถสะท้อนเล่นกับแสงที่ตกกระทบลงบนตัวเครื่องได้อย่างเงางามมีมิติ ซึ่งสีที่ทีมงานได้รับมารีวิววันนี้อย่างสีแดงไล่เฉด Sunrise Red เป็นสีที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้ายามเช้าขณะพระอาทิตย์ขึ้นนั่นเองครับ

ภาพตัวอย่างการสวมใส่เคสใสที่แถมมาให้ภายในตัวเครื่อง จะเห็นได้ว่าเคสถูกออกแบบมาให้สวมใส่ได้พอดีกับตัวเครื่อง และยังมีขอบนูนสำหรับช่วยปกป้องเลนส์กล้องถ่ายภาพอีกด้วยครับ

นอกจากสีแดง Sunrise Red แล้ว OPPO F9 ยังมีอีก 2 เฉดสีให้เลือก ได้แก่ สีน้ำเงินไล่เฉด Twilight Blue ซึ่งเป็นสีสันที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้าในยามค่ำคืน พร้อมลวดลายกลีบดอกไม้เหมือนกับสีแดง Sunrise Red

ส่วนอีกหนึ่งสีเป็นสีพิเศษแบบ Special Edition นั่นก็คือ สีม่วงไล่เฉด Starry Purple ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้าตอนกลางคืนที่รายล้อมไปด้วยดวงดาว ซึ่งสีม่วง Starry Purple จะมีความพิเศษตรงที่บริเวณด้านบนของตัวเครื่องจะมีประกายสีทองส่องแสงระยิบระยับ ต่างจากสีแดง และสีน้ำเงิน ที่เป็นลวดลายกลีบดอกไม้ครับ

เปรียบเทียบดีไซน์ตัวเครื่องระหว่าง OPPO F9 กับ F-Series รุ่นก่อนหน้าอย่าง OPPO F7 จะเห็นได้ว่า ตัวเครื่องยังคงมีขนาดที่ใกล้เคียงกัน

ที่ด้านบนของหน้าจอจะเห็นว่า OPPO F9 มีพื้นที่ในการแสดงผลมากกว่า OPPO F7 อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับขนาดของ Notch ให้เล็กลง พร้อมใช้ดีไซน์หน้าจอแบบใหม่ในชื่อ Waterdrop Screen

ด้านหลังของตัวเครื่องมาพร้อมกับบอดี้ที่มีความผิวสัมผัสเงางามทั้งคู่ แต่ OPPO F9 จะมีลวดลายกลีบดอกไม้เพื่อเสริมความโดดเด่นขึ้นไปอีกขั้น

ส่วนที่ด้านบนมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เนื่องจาก OPPO F9 ปรับไปใช้งานระบบกล้องคู่ (Dual Camera) เป็นที่เรียบร้อย

นอกเหนือจากความสวยงามทางด้านงานออกแบบแล้ว OPPO F9 ยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ 3500mAh และจุดเด่นด้านความเร็วในการชาร์จแบตเตอรี่ ด้วยระบบชาร์จเร็วแบบ VOOC Flash Charge ที่ชาร์จแบตเตอรี่เพียง 5 นาที ก็สามารถคุยสายได้นานถึง 2 ชั่วโมง โดยทีมงานจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ VOOC Flash Charge แบบเจาะลึกในหัวข้อถัดไปครับ

เจาะลึก VOOC Flash Charge นวัตกรรมชาร์จเร็วบน OPPO F9 คืออะไร? ปลอดภัยหรือไม่?

สำหรับ VOOC Flash Charge (Voltage Open Loop Multi-Step Constant-Current Charging) เป็นนวัตกรรมการชาร์จเร็วแบบ 5V/4A ที่ทาง OPPO ได้ทำการพัฒนาขึ้นหลังจากเล็งเห็นว่า พฤติกรรมการใช้งานอุปกรณ์สื่อสารของผู้คนที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป จากแต่ก่อนในยุค “ฟีเจอร์โฟน” ที่การใช้งานจะเน้นไปที่การส่งข้อความ และโทรออกผ่านเครือข่าย 2G / 3G เป็นหลัก ซึ่งกินแบตเตอรี่น้อย ทำให้ไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตเตอรี่อยู่บ่อยๆ

แต่เมื่อเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ยุค “สมาร์ทโฟน” ที่อุปกรณ์มีความสามารถในการเข้าถึงแอปพลิเคชันต่างๆ ประกอบกับหน้าจอแสดงผลที่เริ่มมีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ที่มากขึ้นจากฟีเจอร์โฟน ทำให้สมาร์ทโฟนกินพลังงานแบตเตอรี่มากขึ้นตามไปด้วย และด้วยสาเหตุนี้เองทำให้ OPPO ได้เกิดแนวคิดในการพัฒนาระบบชาร์จเร็วแบบ VOOC Flash Charge เพื่อช่วยย่นระยะเวลาการชาร์จแบตเตอรี่ให้น้อยลง ทำให้สามารถใช้งานสมาร์ทโฟนได้อย่างต่อเนื่องตลอดวันนั่นเองครับ

นอกจากความเร็วในการชาร์จแล้ว OPPO ยังให้ความสำคัญด้านความปลอดภัย จึงได้พัฒนาระบบป้องกันแบบ 5 ขั้น (Five Layers of Protection) สำหรับใช้งานควบคู่กับระบบชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge โดยเฉพาะ ไล่ตั้งแต่ การติดตั้งชิปลงบนอะแดปเตอร์จ่ายไฟ เพื่อคอยควบคุมกระแสไฟให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไปจนถึงการติดตั้งฟิวซ์ลงในสมาร์ทโฟน เพื่อคอยตัดกระแสไฟเมื่อเกิดความปกติ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่า สมาร์ทโฟนจะมีความปลอดภัยขณะชาร์จแบตเตอรี่นั่นเอง โดยระบบป้องกันแบบ 5 ขั้น (FiveLayers of Protection) มีรูปแบบการทำงานดังนี้

ขั้นที่ 1 วงจรความปลอดภัยในตัวอแดปเตอร์ ที่คอยควบคุมไม่ให้จ่ายไฟออกมามากเกินไป (Overload) และจะตัดไฟทันทีเมื่อมีการจ่ายไฟเกิดกำหนด

ขั้นที่ 2 ชิป MCU ในอแดปเตอร์ ช่วยควบคุมการจ่ายไฟระหว่างการชาร์จ ถ้ามีระบบใดที่ไม่พร้อมหรือได้รับความเสียหาย การชาร์จไฟแบบรวดเร็วจะไม่ทำงาน

ขั้นที่ 3 ขั้วควบคุมไฟ 7 PIN ในสาย USB ที่จะช่วยให้สามารถส่งกำลังไฟได้เร็วขึ้น แต่ยังสามารถลดกำลังไฟลงได้เมื่อมีไฟเกิน

ขั้นที่ 4 ชิปควบคุมกำลังไฟในแบตเตอรี่เมื่อมีไฟเกินจะมีการตัดไฟทันที

ขั้นที่ 5 ฟิวซ์ในตัวโทรศัพท์ หากมีความผิดปกติเมื่อไหร่ ก็จะตัดการชาร์จไฟในทันที

และด้วยชิปต่างๆ ที่คอยควบคุมกระแสไฟไม่ให้เกินกำลังนี้เอง จึงทำให้ OPPO F9 สามารถชาร์จไวแบบ VOOC Flash Charge ขณะใช้งานแอปพลิเคชันหนักๆ เช่น การเล่นเกม โดยไม่ต้องกังวลว่าเครื่องจะร้อนจนเกินไป ต่างจากสมาร์ทโฟนบางรุ่นที่จะไม่สามารถใช้ฟังก์ชันชาร์จเร็วขณะใช้งานได้

หากสังเกตจากตัวอะแดปเตอร์จ่ายไฟ และสายชาร์จจะเห็นว่า มีชิปสีเขียวฝังติดตั้งเอาไว้ ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะของอุปกรณ์ที่ทำออกมาเพื่อใช้งานกับระบบชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge นั่นเองครับ

สำหรับ VOOC Flash Charge โดยปกติแล้ว จะถูกนำไปใช้งานกับสมาร์ทโฟน OPPO ตระกูล Find Series และ R-Series เป็นหลัก ส่วนในตระกูล F-Series เคยมีการหยิบนำไปใช้บน OPPO F1 Plus ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา และในรุ่น OPPO F9 เป็นการนำนวัตกรรม VOOC Flash Charge กลับมาใช้งานอีกครั้ง พร้อมกับขยายแบตเตอรี่ให้จุใจมากขึ้นจากรุ่น F1 Plus ถึง 3500mAh ซึ่งเมื่อประกอบกับระบบปฏิบัติการ ColorOS ที่มีฟังก์ชันสำหรับช่วยประหยัดพลังงาน และชิปเซ็ต MediaTek Helio P60 ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับ12 นาโนเมตร บน OPPO F9 แล้ว จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานสมาร์ทโฟนได้อย่างยาวนานตลอดวัน

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

OPPO F9 ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 8.1 Oreo ครอบทับด้วย ColorOS 5.2 ซึ่งเป็น User Interface เวอร์ชันใหม่ที่ทาง OPPO ได้พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปท์ Smart and Efficient โดยมาพร้อมกับลูกเล่นการใช้งานอันชาญฉลาด, ระบบ Multitasking ที่ใช้งานได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น และหน้า UI ที่มีความสดใหม่ไล่ตั้งแต่ไอคอนแอปพลิเคชัน ไปจนถึงภาพพื้นหลัง

รองรับการใช้งานได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการแสตนด์บายบนเครือข่าย 4G LTE ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิมการ์ด นอกจากนี้ OPPO F9 ยังรองรับเทคโนโลยีการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่าย 4G (Voice over LTE : VoLTE) ได้ทั้ง 2 ซิมการ์ด อีกทั้ง ยังรองรับการสื่อสารทางเสียงผ่านระบบ Wi-Fi (Wi-Fi Calling) อีกด้วย

เมื่อปัดนิ้วจากบนลงล่าง จะพบกับ Toggle Switch ซึ่งเป็นศูนย์รวมคีย์ลัดสำหรับเปิด-ปิด การตั้งค่าต่างๆ ภายในตัวเครื่อง เช่น เปิด-ปิด Wi-Fi, เปิด-ปิด การใช้งานอินเทอร์เน็ตมือถือ, เปิด-ปิด ฟังก์ชันกรองแสงสีฟ้า รวมไปถึงการเปิด-ปิด โหมดประหยัดพลังงาน ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับแต่งคีย์ลัดได้เองผ่านการแตะที่ไอคอนลูกศรด้านขวาบน ถัดลงมาคือ Notification Center ซึ่งเป็นศูนย์รวมการแจ้งเตือนต่างๆ ภายในตัวเครื่อง

เมื่อปัดนิ้วจากด้านขวาไปยังด้านซ้ายในหน้า Notification Center จะพบกับไอคอนรูปถังขยะสำหรับลบการแจ้งเตือน และไอคอนรูปฟันเฟืองสำหรับเข้าสู่เมนูจัดการข้อความแจ้งเตือน

เมื่อปัดไปทางด้านขวาจากหน้าโฮมสกรีน จะพบกับ Smart Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะคนใหม่ ที่จะคอยแนะนำฟีเจอร์ และข้อมูลต่างๆ ให้แก่ผู้ใช้โดยวิเคราะห์จากพฤติกรรมการใช้งานสมาร์ทโฟน เช่น ข้อมูลการออกกำลังกาย, ภาพถ่ายในแต่ละสัปดาห์ หรือรายชื่อผู้ติดต่อที่ติดต่ออยู่บ่อยๆ ซึ่งเราสามารถปรับแต่งรูปแบบแอปพลิเคชันที่แสดงภายในหน้า Smart Assistant ได้ผ่านการกดที่ไอคอนแก้ไข (Edit) บริเวณด้านล่าง

เมื่อกดที่ปุ่ม Recent-Apps จะพบกับปริมาณ RAM ที่ถูกใช้ไป และรายชื่อแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลังทั้งหมด ผู้ใช้สามารถปิดแอปพลิเคชันผ่านการปัดหน้าแอปพลิเคชันขึ้นไปยังด้านบน หรือกดที่ไอคอนกากบาทที่ด้านล่าง เพื่อปิดแอปพลิเคชันทั้งหมด

OPPO F9 มาพร้อมกับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB พร้อมหน่วยความจำภายใน (ROM) ความจุ 64GB ซึ่งผู้ใช้สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card ได้สูงสุดที่ 256GB

ด้านแอปพลิเคชันที่ติดตั้งมาให้ภายในตัวเครื่อง ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น แอปพลิเคชันจาก Google ที่ประกอบไปด้วย เว็บเบราว์เซอร์ Chrome, แผนที่ Google Maps หรือ Youtube และยังมีแอปพลิเคชันพื้นฐานอย่าง แอปพลิเคชันอัดเสียง, เข็มทิศ, เครื่องคิดเลข และ Radio สำหรับรับฟังวิทยุ FM

สามารถดาวน์โหลด และปรับเปลี่ยนธีมของตัวเครื่องได้ผ่านแอปพลิเคชัน Theme Store

มาพร้อมกับแอปพลิเคชัน Phone Manager ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับจัดการประสิทธิภาพภายในตัวเครื่องโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น การเคลียร์ไฟล์แคช (Cache File), จัดการความเป็นส่วนตัว หรือการสแกนไวรัส ซึ่งจะช่วยให้ตัวเครื่องมีความปลอดภัย และใช้งานได้รวดเร็วอยู่ตลอดเวลา

ด้วยหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ถึง 6.3 นิ้ว พร้อมพื้นที่ในการแสดงผลสูงถึง 90.8% บนอัตราส่วนแบบ 19.5:9 ทำให้ OPPO F9 สามารถแสดงคอนเทนต์ต่างๆ บนเว็บไซต์ได้อย่างครบถ้วน

รองรับฟังก์ชัน Split-Screen สำหรับแบ่งหน้าจอเพื่อเปิดใช้งาน 2 แอปพลิเคชันพร้อมกัน โดยวิธีการเรียกใช้สามารถทำได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ การกดค้างที่ปุ่ม Recent Apps และเลือกแอปพลิเคชันที่ต้องการ หรือใช้ 3 นิ้วลากจากล่างขึ้นบน

นอกจากฟังก์ชันแบ่งหน้าจอแล้ว OPPO F9 ยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน Full Screen Multitasking สำหรับเปิดแอปพลิเคชันอื่นๆ ขณะใช้งานในโหมดการแสดงผลเต็มหน้าจอ เช่น การเล่นเกม หรือการดูวิดีโอ โดยวิธีการใช้งานให้ผู้ใช้ลากนิ้วจากบริเวณขอบหน้าจอส่วนบนของตัวเครื่อง ก็จะพบกับรายชื่อแอปพลิเคชันต่างๆ ที่รองรับการทำงานร่วมกับฟังก์ชัน Full Screen Multitasking

ทางด้าน OPPO Cloud บริการพิเศษสำหรับผู้ใช้งาน OPPO โดยเฉพาะก็มีให้ใช้งานเช่นเดียวกัน โดยผู้ใช้สามารถแบ็คอัพรูปภาพ, รายชื่อผู้ติดต่อ และบุ๊กมาร์กของเว็บเบราซ์เซอร์ ขึ้นไปจัดเก็บบนระบบคลาวด์อินเทอร์เน็ตของ OPPO ได้ รวมทั้งยังสามารถดาวน์โหลดกลับมาใช้งานได้ทุกเมื่อเพียงแค่ล็อกอินบัญชี OPPO ID เท่านั้น

สำหรับแอปพลิเคชันอัลบั้มภาพถ่าย สามารถแสดงภาพถ่ายภายในตัวเครื่องได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ ประกอบไปด้วย แสดงภาพถ่ายภาพโดยรวมทั้งหมดที่อยู่ภายในตัวเครื่อง, แสดงภาพถ่ายตามช่วงเวลา (Memories) และแสดงภาพถ่ายตามหมวดหมู่ เช่น ภาพถ่ายเซลฟี่, ภาพถ่ายบุคคล และภาพบันทึกหน้าจอ เป็นต้น

อย่างที่กล่าวไปด้านต้นว่า ระบบปฏิบัติการ ColorOS 5.2 ถูกพัฒนาภายใต้แนวคิด Smart and Efficient ทำให้มีลูกเล่นในการใช้งานที่ฉลาด และมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน ซึ่งหนึ่งในความฉลาดคือการผสานระบบผู้ช่วยอัจฉริยะจาก Google อย่าง Google Assistant ที่ผู้ใช้สามารถสั่งงานภายในตัวเครื่อง รวมถึงค้นหาสิ่งต่างๆ ที่ต้องการผ่านคำสั่งเสียง โดยการเปิดเรียกใช้งาน Google Assistant บน OPPO F9 สามารถทำได้อย่างง่ายๆ ผ่านการกดปุ่ม Home ค้างเอาไว้เป็นเวลาประมาณ2 วินาที ก็สามารถเริ่มต้นใช้งานได้ทันที

ส่วนฟังก์ชันที่เน้นไปในด้านประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประสบการณ์ด้านการใช้งาน ก็มีให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย เช่น ฟังก์ชัน App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่างๆ ภายในตัวเครื่อง เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว โดยจะมีแต่ผู้ใช้ที่รู้รหัสปลดล็อก หรือผู้ใช้ที่ลงทะเบียนใบหน้าเอาไว้เท่านั้น ที่จะสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันที่ถูกล็อกได้ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน Private Safe ที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเทอื่นๆ เข้าไปเก็บไว้ใน Private Safe ได้ ซึ่งผู้ที่จะสามารถเข้าไปดูไฟล์ที่ถูกเก็บเอาไว้ได้จะมีเพียงแต่เจ้าของที่รู้รหัสนั่นเอง

สำหรับแอปพลิเคชันวิดีโอก็มีลูกเล่นที่ตอบโจทย์ด้านความสะดวกในการใช้งานเช่นเดียวกัน โดยผู้ใช้สามารถลากนิ้วไปทางด้านซ้าย-ขวา เพื่อกรอคลิปวิดีโอ หรือลากนิ้วจากล่างขึ้นบน-บนลงล่าง เพื่อปรับระดับเสียง นอกจากนี้ ยังสามารถเปิดเล่นเสียงของไฟล์วิดีโอขณะล็อกหน้าจอได้ด้วยผ่านการแตะที่ไอคอนรูปหูฟังมุมขวาบน

นอกเหนือจากฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ที่กล่าวไปด้านต้นแล้ว OPPO F9 ยังมาพร้อมกับลูกเล่นที่น่าสนใจอย่าง Clone Apps ซึ่งเป็นการโคลนแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียเพื่อให้สามารถใช้งานได้แบบ 2 แอคเคานท์ โดยแอปพลิเคชันที่ถูกโคลนออกมาจะปรากฏคำว่า (Clone) ต่อท้ายชื่อ

รวมไปถึงฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะ อย่าง Smart Slider สำหรับเรียกใช้งานคีย์ลัด และแอปพลิเคชันต่างๆ ผ่านการสไลด์ที่บริเวณขอบสีขาวที่หน้าจอ หรือฟังก์ชันปรับเปลี่ยนรูปแบบการควบคุม จากปุ่มสัมผัสบนหน้าจอ เป็นการควบคุมด้วยการลากนิ้วขึ้นจากด้านล่างของหน้าจอ (Swipe-up Gestures)

และมาพร้อมกับฟังก์ชัน Raise to Turn On Screen ที่ช่วยให้ปลุกหน้าจอแสดงผลให้ติดแบบอัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูการแจ้งเตือนบนหน้า Lock Screen ได้โดยไม่จำเป็นต้องกดปุ่ม Power

อีกทั้งยังมีลูกเล่นการวาดนิ้วขณะหน้าจอดับ (Screen-off Gestures) เพื่อเปิดใช้งานคีย์ลัดต่างๆ เช่น แตะสองครั้งเพื่อปลุกหน้าจอ, วาดตัวอักษร O เพื่อเปิดแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ, วาดตัวอักษร V เพื่อเปิดใช้งานไฟฉาย และการวาดตัวอักษร < หรือ > เพื่อเปลี่ยนเพลง นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่ารูปแบบการวาดเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันจ่างๆ ได้ด้วยตนเอง

รวมถึงฟังก์ชัน Assistive Ball หรือปุ่มคีย์ลัดในรูปแบบทรงกลมที่จะแสดงอยู่เหนือแอปพลิเคชันบนหน้าจอ และฟังก์ชัน Smart Driving ซึ่งเป็นลูกเล่นที่ถูกออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่ยานพาหนะ โดยเมื่อผู้ใช้เชื่อต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับบลูทูธของรถยนต์ ตัวระบบจะปรับเข้าสู่โหมดห้ามรบกวน (Do not Disturb : DnD) ให้แบบอัตโนมัติ พร้อมกับปิดแถบการแจ้งเตือนแบบแบนเนอร์ เพื่อให้ผู้ใช้มีสมาธิกับการขับขี่ยานพาหนะนั่นเอง

อย่างที่กล่าวไปด้านต้นว่า OPPO F9 มาพร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือสำหรับยืนยันสิทธิเข้าใช้งานตัวเครื่องด้วย โดยผู้ใช้จะต้องเข้าไปลงทะเบียนลายนิ้วมือเสียก่อน ซึ่งสามารถเพิ่มได้สูงสุดทั้งหมด 5 ลายนิ้วมือ และที่สำคัญลายนิ้วมือแต่ละนิ้วที่ผู้ใช้ลงทะเบียนเอาไว้นั้น จะถูกจัดเก็บเอาไว้ในโมดูลความปลอดภัยที่ติดตั้งภายในสมาร์ทโฟน ทำให้แอปพลิเคชันอื่นๆ ไม่สามารถดักเก็บลายนิ้วมือของเราไปใช้งานในด้านอื่นที่ไม่ปลอดภัยได้

นอกเหนือจากระบบยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือแล้ว OPPO F9 ยังมาพร้อมกับระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า โดยสามารถลงทะเบียนได้เพียง 1 ใบหน้าเท่านั้น

สำหรับระบบปลดล็อกด้วยใบหน้านั้น ผู้ใช้สามารถตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติมด้วยการเปิดฟังก์ชัน Closed Eyes Will Fail Face Recognition สำหรับตรวจจับว่าผู้ใช้มีการหลับตาอยู่หรือไม่ ซึ่งหากดวงตาทั้งสองข้างไม่ได้เปิดกว้าง ก็จะไม่สามารถปลดล็อกได้

ข้ามมาที่ประสิทธิภาพการทำงานกันบ้าง โดย OPPO F9 ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังระดับกลางตัวท็อปอย่าง MediaTek Helio P60 Octa-Core Processor ซึ่งเป็นชิปเซ็ตประมวลผลที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผลแยกแบบ Multi-Core AI Processing Unit (Mobile APU) สำหรับประมวลผลงานด้าน AI โดยเฉพาะ พร้อมเทคโนโลยี NeuroPilot ที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการทำงานของ AI ระหว่าง CPU, GPU และ Mobile APU ผสานกันอย่างไร้รอยต่อ โดยขุมพลัง Helio P60 บน OPPO F9 จะทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Mali-G72MP3, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) ความจุ 64GB และขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 8.1 Oreo ครอบทับด้วย ColorOS เวอร์ชัน 5.2

ทดสอบประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของตัวเครื่องด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu พบว่า OPPO F9 สามารถทำได้ทั้งหมด 137689 คะแนน

ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลของหน่วยประมวลผล CPU ด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 4 พบว่าสามารถทำคะแนนทดสอบการประมวลผลแบบ Single-Core ได้ทั้งหมด 1496 คะแนน และทำคะแนนทดสอบการประมวลผลแบบ Multi-Core ได้ทั้งหมด 5769 คะแนน

เมื่อลองนำไปทดสอบความสามารถด้านการเล่นเกมที่มีกราฟิก 3 มิติยอดฮิต อย่างเช่น RoV ได้อย่างลื่นไหล เฟรมเรทนิ่งอยู่ที่ระดับ 30FPS ไม่มีอาการแกว่งแต่อย่างใด แต่ในขณะนี้ OPPO F9 ยังไม่สามารถเปิดโหมดเฟรมเรทสูง (High Frame Rate) ได้ ซึ่งคาดว่าจะมีการปล่อยอัปเดตออกมาในอนาคตครับ

ที่สำคัญยังมาพร้อมกับฟังก์ชันที่ตอบโจทย์เหล่าเกมเมอร์โดยเฉพาะอย่าง Game Space ซึ่งผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือนจากป็ออัปต่างๆ ขณะเล่นเกม รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอ

นอกจากนี้ Game Space ยังมีฟีเจอร์เด็ดอย่าง Graphics Acceleration สำหรับรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลที่สุด รวมไปถึง Network Protection สำหรับจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตของแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เพื่อช่วยลดอาการแลคขณะเล่นเกมออนไลน์ที่จำเป็นต้องมีการรับ-ส่งข้อมูลอยู่ตลอดเวลา

นอกเหนือจากความลื่นไหลในการเล่นเกมแล้ว OPPOF9 ยังสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดสูงระดับ Full HD ได้อย่างไม่มีสะดุด ซึ่งเมื่อประกอบกับหน้าจอแสดงผลขนาด 6.3 นิ้ว ดีไซน์ใหม่แบบ Waterdop Screen ที่มีพื้นที่ในการแสดงผลสูงถึง 90.8% แล้ว ยิ่งทำให้การรับชมคอนทนต์ และภาพยนต์เป็นไปอย่างเต็มตาเต็มอารมณ์ครับ นอกจากนี้ OPPO F9 ยังรองรับการรับชมภาพยนต์บนอัตราส่วนจอกว้างแบบ 21 : 9 อีกด้วย

ส่วนทางด้านระบบสัมผัสแบบ Multi-Touch รองรับการสัมผัสพร้อมกันสูงสุด 10 จุด

ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน หรือเกมได้เพิ่มเติมผ่าน Google Play Store

กล้องดิจิทัล การถ่ายภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ

ไฮไลท์เด่นที่ไม่กล่าวถึงบน OPPO F9 คงจะไม่ได้เลยนั่นก็คือ การอัปเกรดไปใช้ระบบกล้องคู่พลัง AI ความละเอียด 16 + 2 ล้านพิกเซลเป็นครั้งแรกของสมาร์ทโฟนตระกูล F Series ซึ่งนอกเหนือจากจะมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์แบบ AI Scene Recognition เข้ามาช่วยวิเคราะห์ฉาก และวัตถุต่างๆ ที่อยู่ภายในเฟรม เพื่อนำไปปรับแต่งภาพถ่ายให้สวยงามแบบอัตโนมัติได้มากกว่า 16 ซีนแล้ว ยังมาพร้อมกับลูกเล่นการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอแบบ Artistic Portrait Mode และฟังก์ชันการจัดแสงแบบ 3 มิติคล้ายกับที่มีอยู่บนสมาร์ทโฟนรุ่นท็อปอย่างOPPO R15 Pro หรือ OPPO F9 อีกด้วย

ส่วนทางด้านกล้องหน้าก็มีความโดดเด่นน่าสนใจไม่แพ้กัน ด้วยกล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียดสูง 25 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี AI Beauty 2.1 เวอร์ชันใหม่ล่าสุดที่สามารถปรับแต่งใบหน้าของผู้ใช้ให้สวยงามเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิเคราะห์ส่วนต่างๆ บนใบหน้าผู้ใช้งานมากกว่า 296 จุด นอกจากนี้ AI Beauty 2.1 ยังสามารถปรับแต่งช่วงคอ และแขนให้มีความสวยงามขึ้นได้ด้วย รวมทั้งยังสามารถปรับแต่งใบหน้าตามเพศ อายุ สีผิว และผิวพรรณ สำหรับผู้ใช้ทุกเชื้อชาติทั่วโลก และที่สำคัญ AI Beauty ยังสามารถปรับแต่งใบหน้าได้สูงสุดถึง4 คนในเฟรมเดียว ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าเพื่อนๆ ที่ถ่ายรูปเซลฟี่คู่กับเราจะต้องออกมาหล่อสวยกันทุกคนอย่างแน่นอนครับ

สำหรับอินเทอร์เฟสของกล้องหลังถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างสะดวก และง่ายต่อการใช้งานตามสไตล์ระบบปฏิบัติการ ColorOS โดยมาพร้อมกับคีย์ลัดสำหรับตั้งค่ากล้องต่างๆ ที่ถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ประกอบไปด้วย การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, เปิด-ปิด ฟังก์ชัน HDR (High Dynamic Range), เปิด-ปิด ฟังก์ชัน Super Vivid สำหรับเพิ่มสีสันในภาพถ่ายให้มีความสดใส, ฟังก์ชันตั้งเวลาถ่ายภาพ และฟังก์ชันการตั้งค่าสัดส่วนของรูปภาพ

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน Google Lens ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความฉลาดของระบบปฏิบัติการ ColorOS โดยเป็นบริการสำหรับค้นหาสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น ข้อความ, สิ่งของ, หนังสือ, สถานที่ หรือบาร์โค้ด เพียงแค่ยกกล้องสมาร์ทโฟนส่องไปยังวัตถุที่ต้องการ

มีฟังก์ชันซูมภาพแบบ 2 เท่า (2x Zoom) สำหรับช่วยบันทึกภาพวัตถุที่อยู่ไกลผู้ถ่ายได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับฟังก์ชันถ่ายภาพหน้าสวยแบบ AI Beauty สามารถปรับระดับความเรียบเนียนของการเกลี่ยสีผิว และการปรับแต่งได้ทั้งหมด 6 ระดับ และสามารถเลือกให้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำการวิเคราะห์ และปรับแต่งให้แบบอัตโนมัติได้ผ่านการแตะที่ไอคอน AI

สามารถปรับฟิลเตอร์เพื่อย้อมแสง และปรับโทนสีของภาพถ่ายได้ทั้งหมด 11 รูปแบบ ประกอบไปด้วย Original, Matcha, Autumn, Lime, Puff, Fantasy Castle, Black Coffee, Love Letter, 2046, Chungking และ Cranberry

นอกเหนือจากฟังก์ชันคีย์ลัดต่างๆ แล้ว กล้องหลังของ OPPO F9 ยังมาพร้อมกับโหมดการถ่ายภาพให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย เริ่มตั้งแต่โหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait Mode) ที่สามารถเลือกรูปแบบการจัดแสง 3 มิติได้ทั้งหมด 5 รูปแบบ ประกอบไปด้วย แสงธรรมชาติ Natural Light, แสงฟิล์ม Film Light, แสงขาวดำ Mono-Tone Light, แสงสีทองเกาะตามไรผม Rim Light และแสงสีน้ำเงินผสมสีแดง Bi-Color Light

มาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพ Sticker ที่มีสติ๊กเกอร์น่ารักๆ ในรูปแบบต่างๆ ให้เลือกใช้งาน เพื่อช่วยเพิ่มสีสันให้แก่ภาพถ่ายให้มีชีวิตชีวา โดยสามารถบันทึกออกมาได้เป็นทั้งไฟล์ภาพนิ่ง และไฟล์วิดีโอ

มาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพแบบ Pano สำหรับเก็บภาพถ่ายในมุมกว้าง

รวมถึงโหมดถ่ายภาพแบบมืออาชีพ ที่สามารถปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ ของกล้องถ่ายภาพได้เอง ไม่ว่าจะเป็น ค่าสมดุลแสงสีขาว (White Balance) ได้ตั้งแต่ 2000K ไปจนถึง 9000K, การชดเชยแสง (EV) ได้ตั้งแต่ -3.00EV ไปจนถึง +3.00EV, ค่าความไวแสง (ISO) ได้ตั้งแต่ ISO 100 ไปจนถึง ISO3200, ค่าความเร็วชัตเตอร์ (Shutter Speed) ได้ตั้งแต่ 1/8000s ไปจนถึง 16s และการปรับระยะโฟกัสระหว่างการโฟกัสอัตโนมัติแบบ Autofocus (AF) และการปรับโฟกัสด้วยตนเองแบบ Manual Focus (MF)

ส่วนการถ่ายวิดีโอ รองรับการบันทึกภาพวิดีโอที่ควาและมาพร้อมกับโหมดถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse และโหมดการถ่ายภาพแบบ Slow-Mo ที่ระดับ 120fps บนความละเอียด HD 720p เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวินาทีได้อย่างน่าประทับใจ

ส่วนการถ่ายวิดีโอ รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD 1080p และยังสามารถเปิดใช้งานโหมด Super Vivid ในขณะบันทึกวิดีโอได้ด้วย แต่หากเปิดใช้งานฟังก์ชันดังกล่าวจะทำให้สามารถบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดเพียงระดับ HD 720p เท่านั้นครับ

ส่วนทางด้านอินเทอร์เฟสของกล้องหน้า ก็มาพร้อมกับคีย์ลัดให้เลือกใช้งานได้อย่างสะดวกเหมือนกับกล้องหลัง ไม่ว่าจะเป็น การเปิด-ปิด ไฟแฟลชบนหน้าจอ, เปิด-ปิด ฟังก์ชัน HDR (High Dynamic Range), เปิด-ปิด ฟังก์ชัน Depth Effect สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอ, เปิด-ปิด ฟังก์ชัน Super Vivid สำหรับช่วยเพิ่มสีสันให้แก่ภาพถ่ายให้มีความจัดจ้าน, ตั้งค่าเวลาการถ่ายภาพ และการตั้งค่าสัดส่วนของภาพถ่าย

รองรับการถ่ายภาพเซลฟี่ด้วยท่าทาง (Gesture) ผ่านการยกมือขึ้น โดยสามารถเข้าไปเปิดการใช้งานผ่านเมนูตั้งค่าเวลาการถ่ายภาพ และเลือก Gesture ครับ

สำหรับโหมดถ่ายภาพหน้าสวยแบบ AI Beauty 2.1 สามารถปรับระดับของความเรียบเนียนได้ทั้งหมด 6 ระดับ และสามารถเลือกให้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) วิเคราะห์ และปรับแต่งใบหน้าผู้ใช้งานได้

มาพร้อมกับฟิลเตอร์ต่างๆ ให้เลือกใช้งานทั้งหมด 11 รูปแบบเหมือนกับกล้องหลัง ประกอบด้วย Original, Matcha, Autumn, Lime, Puff, Fantasy Castle, Black Coffee, Love Letter, 2046, Chungking และ Cranberry

นอกจากนี้ ยังมีโหมดการถ่ายภาพให้เลือกใช้งานอย่างครบถ้วนตอบโจทย์ทุกการถ่ายภาพเซลฟี่ ไม่ว่าจะเป็น Sicker ที่สามารถใส่สติ๊กเกอร์ได้สูงสุด 4 คนในเฟรมเดียว หรือ Pano สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่แบบกลุ่ม

ส่วนทางด้านโหมดถ่ายภาพวิดีโอด้วยกล้องหน้าเซลฟี่ รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD 1080p พร้อมสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชัน Super Vivid ควบคู่ได้ แต่จะจำกัดความละเอียดสูงสุดที่ระดับ HD 720p เท่านั้น

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลตัวหลักที่ด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียดระดับ 16 + 2 ล้านพิกเซล ของ OPPO F9

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ พร้อมเปิดฟังก์ชัน Super Vivid

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมเลือกรูปแบบการจัดแสงแบบ Natural Light

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมเลือกรูปแบบการจัดแสงแบบ Film Light

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมเลือกรูปแบบการจัดแสงแบบ Rim Light

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเลือกรูปแบบการจัดแสงแบบ Mono-Tone Light

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเลือกรูปแบบการจัดแสงแบบ Bi-Color Light

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพ AR Sticker

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียด 25 ล้านพิกเซลของ OPPO F9

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ พร้อมเปิดฟังก์ชัน Super Vivid

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวยแบบ AI Beauty 2.1

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย พร้อมปรับความเรียบเนียนที่ระดับ 3

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย พร้อมปรับความเรียบเนียนที่ระดับ 6

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวยแบบ AI Beauty 2.1 พร้อมเปิดฟังก์ชันถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพ AR Sticker

สรุปผลการทดสอบของ OPPO F9

จบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับการรีวิวสมาร์ทโฟนน้องใหม่แกะกล่องในตระกูล F-Series ของ OPPO อย่าง OPPO F9 ซึ่งครั้งนี้นับว่าเป็นการยกเทคโนโลยีต่างๆ จากรุ่นพี่มาใส่ไว้บนมือถือในช่วงราคาหนึ่งหมื่นบาทเอาไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ดีไซน์หน้าจอแสดงผลแบบไร้ขอบที่มีพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องสูงถึง 90.8% , กล้องหลังแบบคู่ รวมไปถึงสีสันแบบไล่เฉดทั้งฝาหลัง และขอบด้านข้าง ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนที่มีการไล่เฉดสีทั้งตัวเครื่องและฝาหลัง นอกจากนี้ บอดี้ยังมาพร้อมกับลวดลายกลีบดอกไม้ที่ช่วยเปล่งความเงางามของสมาร์ทโฟนตามมุมมองของแสงที่ตกกระทบ

ด้านกล้องหน้าเซลฟี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของสมาร์ทโฟน OPPO ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นด้วย กล้องเซลฟี่ความละเอียด 25 ล้านพิกเซล ผสานเทคโนโลยี AI Beauty 2.1 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ที่นอกเหนือจากจะช่วยปรับแต่งใบหน้าผู้ใช้ให้มีความสวยงามผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์แล้ว ครั้งนี้ยังสามารถปรับแต่งส่วนอื่นๆ เช่น ลำคอ และช่วงแขน ได้อีกด้วย ที่สำคัญ AI Beauty 2.1 มีความสามารถในการปรับแต่งใบหน้าโดยวิเคราะห์จากเพศ, สีผิว และเชื้อชาติ ทำให้มั่นใจได้ว่าาพเซลฟี่ที่ออกมาจะมีความสวยหล่อยถูกใจคนชอบเซลฟี่อย่างแน่นอนครับ

ส่วนทางด้านกล้องหลังก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเป็นครั้งแรกของสมาร์ทโฟน OPPO ตระกูล F-Series ที่เลือกใช้ระบบกล้องหลังคู่ความละเอียด 16 + 2 ล้านพิกเซล เพื่อช่วยถ่ายภาพ Portrait แบบหน้าชัดหลังเบลอได้อย่างสวยงาม พร้อมทั้งยังมากับฟังก์ชันการจัดแสงให้แก่ตัวแบบ เพื่อช่วยเปลี่ยนโทนของภาพอย่างหลากหลาย รวมไปถึงเทคโนโลยี AI Scene Recognition ที่ช่วยให้ตั้งค่าการถ่ายภาพต่างๆ ให้แบบอัตโนมัติ ซึ่งนับว่าเป็นฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่อาจไม่มีความคุ้นชินกับการตั้งค่าต่างๆด้วยตนเองมากนัก

ด้านประสิทธิภาพการทำงานถือว่าตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างรอบด้าน ด้วยการมาพร้อมกับชิปเซ็ตประมวลผลระดับกลางรุ่นท็อป MediaTek Helio P60 ที่ทำงานควบคู่กับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB พร้อมหน่วยความจำภายในความจุ 64GB ที่ผู้ใช้สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมแบบ microSD Card ได้ และการทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 8.1 Oreo ครอบทับด้วย ColorOS 5.2 ที่มีจุดเด่นด้านความสะอาดตาของหน้าUI สามารถใช้งานได้ง่าย และมีลูกเล่นด้านความปลอดภัย รวมถึงความอัจฉริยะให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย

และที่สำคัญ OPPO F9 ยังมาพร้อมกับระบบ VOOC Flash Charge ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชาร์จเร็วที่ทาง OPPO คิดค้นมาเป็นเวลาอย่างยาวนาน มีจุดเด่นด้านระยะเวลาการชาร์จที่รวดเร็วเพียงแค่ 5 นาที ก็สามารถใช้งานสนทนาได้ยาวนานถึง 2 ชั่วโมง รวมทั้งยังมีระบบความปลอดภัยแบบ 5 ขั้น (Five Layers of Protecttion) ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าสมาร์ทโฟนจะมีความปลอดภัยตลอดระยะเวลาการชาร์จครับ

และจากการที่ทดสอบมาทั้งหมดก็พอจะสรุปได้ว่า OPPO F9 เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนระดับกลางที่มีราคาวางจำหน่ายไม่สูงมากนัก แต่เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบถ้วน รวมไปถึงดีไซน์ตัวเครื่องที่มีความสวยงาม และมีกล้องดิจิทัลหน้า-หลัง ที่บันทึกภาพความประทับใจได้อย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ ซึ่ง OPPO F9 ถือว่าเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์มากพอสมควรครับ

สำหรับ OPPO F9 วางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ววันนี้ด้วยราคา 10,900 บาท มีให้เลือกทั้งหมด 3 เฉดสี ได้แก่ สีแดงไล่เฉด Sunrise Red , สีน้ำเงิน Twilight Blue และ สีม่วง Starry Purple โดยในส่วนของสีม่วง Starry Purple เปิดให้สั่งจองล่วงหน้าระหว่างวันที่ 8 - 26 กันยายน ปี 2018 ส่วนกำหนดการวางขายสีม่วง Starry Purple จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน ปี 2018 เป็นต้นไป ซึ่งหากท่านใดที่สนใจก็สามารถแวะเวียนเข้าไปทดลองใช้งานเบื้องต้น และสั่งจองได้ที่ OPPO Brand Shop และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง OPPO ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง OPPO F9 มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ

จุดเด่นของ OPPO F9

- ตัวเครื่องถูกขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกันด้วยกระบวนการผลิตแบบ Unibody - สีสันตัวเครื่องแบบไล่เฉด สามารถเปลี่ยนสีได้ตามมุมแสงที่ตกกระทบ - จอแสดงผลแบบไร้ขอบ Waterdrop Screen ความละเอียดระดับ FHD+ (2340x1080 พิกเซล) ขนาด 6.3 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 พร้อมฟังก์ชัน Full Screen Multitasking สำหรับใช้เปิดใช้งานสองแอปพลิเคชันขณะอยู่ในโหมดเต็มหน้าจอ - หน่วยประมวลผลภาพกราฟิกโดยเฉพาะ (GPU : Graphics Processing Unit) แบบ Mali-G72 MP3 - รองรับการใช้งานสองแอปพลิเคชันพร้อมกันผ่านฟังก์ชัน Split-Screen - ฟังก์ชัน App Clone สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันได้แบบ 2 แอคเคานท์ - ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต Octa-Core MediaTek Helio P60 - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo ครอบทับด้วย ColorOS 5.2 เวอร์ชันล่าสุด - หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 64GB พร้อมรองรับการเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card ความจุสูงสุด 256GB - หน่วยความจำ RAM ขนาด 6GB - กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 25 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์รับภาพแบบ HDR, รูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.0 พร้อมเทคโนโลยี AI Beauty 2.1 และรองรับการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ - กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบ Dual Camera ความละเอียด 16+2 ล้านพิกเซล, รูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.8 และ f/2.4, ไฟแฟลช LED พร้อมเทคโนโลยี AI Scence Recognition, รองรับการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอผ่านโหมด Portrait พร้อมฟีเจอร์จัดแสงให้แก่ตัวแบบ - รองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual SIM) - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, WiFi, EDGE และ GPRS - รองรับการสแตนด์บายบนเครือข่าย 4G LTE ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิมการ์ด - รองรับเทคโนโลยีการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่าย 4G (Voice over LTE : VoLTE) ได้ทั้ง 2 ซิมการ์ด - ระบบ GPS+A-GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง) - ฟังก์ชัน Gamce Space สำหรับช่วยเร่งประสิทธิภาพการประมวลผลขณะเล่นเกม - ระบบสแกนใบหน้า และสแกนลายนิ้วมือ - ชนิดแบตเตอรี่แบบ Li-Ion ขนาด 3500 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge ที่ชาร์จเพียง 5 นาที สามารถใช้สนทนาได้ถึง 2 ชั่วโมง - ราคา 10,990 บาท ถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO F9

- การแสดงผลแบบเต็มหน้าจอ FullView ในอัตราส่วนแบบ 19.5:9 ยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ 100% เช่นการเปิดดู YouTube, การเปิดดูคลิปวิดีโอ, การเล่นเกม หรืออื่นๆ - วัสดุที่ใช้ผลิตตัวเครื่องด้านหลังมีความมันวาว จึงอาจทำให้เกิดคราบรอยนิ้วมือได้ง่าย

โปรดทราบ

* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *

Leave a Comment