รีวิว Vivo V11 สมาร์ทโฟนระบบสแกนนิ้วบนหน้าจอ ผสานกล้อง AI หน้า-หลัง สุดอัจฉริยะ บนตัวเครื่อง 3D Glass โค้งมนไล่เฉดสีสุดเงางาม!:: Thaimobilecenter.com

สมาร์ทโฟนระบบสแกนนิ้วบนหน้าจอ ผสานกล้อง AI หน้า-หลัง สุดอัจฉริยะ พร้อมจอ Halo FullView Display Super AMOLED แทบไร้รอยบาก 6.41 นิ้ว, ระบบปลดล็อกใบหน้าอินฟราเรด, ชิปเซ็ต Snapdragon 660 AIE, RAM 6GB, ROM 128GB, แบตเตอรี่ Dual-Engine Fast Charging, ผู้ช่วยส่วนตัว Jovi AI และฟังก์ชัน Funmoji บนตัวเครื่อง 3D Glass โค้งมนไล่เฉดสีสุดเงางาม!

19 กันยายน 2018 - หลังจากการเปิดตัวของ Vivo V9 เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา พร้อมกับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดี ล่าสุดทาง Vivo ประเทศไทยก็ได้ส่ง Vivo V11 รุ่นต่อยอดจากตระกูล V-Series ออกมาเพิ่มเติมแล้ว และการกลับมาในครั้งนี้โดดเด่นด้วยดีไซน์โฉมใหม่หมดจดกับ หน้าจอไร้ขอบแบบ Halo FullView Display ในอัตราส่วน 19.5:9 ขนาดใหญ่เต็มตากว่าเดิมที่ 6.41 นิ้ว โดยการลดพื้นที่รอยบาก (Notch) จากในรุ่น V9 ให้มีขนาดเล็กลงรวมถึงตัวเครื่องกระจก 3D Glass ผสานกรอบด้านข้างโลหะแบบ Metal-Glass และเพิ่มความพรีเมียมให้กับตัวเครื่องด้วยการ ไล่เฉดสีเล่นกับแสงทั้ง 2 ตัวเลือก ได้แก่ Starry Night และ Nebula

ทางด้านฟีเจอร์ และคุณสมบัติเด่นของ Vivo V11 ก็จัดมาให้แบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ชิปเซ็ต Octa-Core Qualcomm Snapdragon 660 AIE จับคู่กับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาดจุใจ 128GB ที่ยังสามารถเพิ่ม microSD Card ได้อีก 256GB เรียกได้ว่ารองรับการเก็บไฟล์ข้อมูล, ไฟล์ภาพถ่าย, แอปพลิเคชัน และเกม ได้อย่างจุใจโดยไม่ต้องหมั่นเคลียร์พื้นที่บ่อยๆ และเนื่องจาก Vivo V11 รองรับถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot จึงสามารถใช้งาน 2 ซิมการ์ด + 1 microSD Card ได้พร้อมกัน สำหรับแบตเตอรี่ให้มาที่ 3400 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Dual-Engine Fast Charging บนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo ที่ถูกครอบทับด้วย FunTouch OS 4.5 เวอร์ชันใหม่ และที่สำคัญคือได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-Display Fingerprint ID) มาจากรุ่นพี่ในตระกูล X-Series พร้อมทำงานร่วมกับ ระบบสแกนใบหน้าด้วยแสงอินฟราเรด (Face Access) โดยทำการจับจุดบนใบหน้ากว่า1,024 จุด และสามารถสแกนได้ในที่แสงน้อย

อีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของ Vivo V11 ก็คือกล้องถ่ายภาพแบบคู่ (Dual Camera) ที่ด้านหลัง กับความละเอียด 12+5 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี 2PD ที่รองรับการถ่ายภาพคมชัดสูงสุดที่ 24 ล้านพิกเซล และฟีเจอร์ AI Backlight HDR ในการรวม 6 ช็อตให้เป็นภาพเดียว ซึ่งรับแสงได้ถึง 11EV, ฟีเจอร์ AI Low Light HDR ที่สามารถถ่ายภาพแสงน้อย หรือแสงจ้าได้คมชัด, ฟีเจอร์ AI Scene Recognition และฟีเจอร์ AI PortraitFraming ที่ช่วยแนะนำมุมสวยของการถือกล้องขณะถ่ายภาพ

ส่วน กล้องหน้าก็จัดมาให้ที่ 25 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์ HDR ผสานเทคโนโลยี AI และรองรับฟีเจอร์ AI Face Shaping สำหรับปรับโครงสร้างบนใบหน้าได้อย่างอิสระ รวมถึง AI Selfie Lighting ในการจำลองหน้าแบบ 3 มิติ พร้อมปรับแต่งแสงในรูปแบบต่างๆ และลูกเล่นน่ารักๆ อย่าง AR Stickers ให้ได้เลือกใช้งานหลากรูปแบบด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ Vivo V11 ยังมาพร้อม Vivo Funmoji ลูกเล่นน้องใหม่บนแอปพลิเคชัน Messages สำหรับสร้างอีโมจิตัวการ์ตูนสุดน่ารักในรูปแบบสามมิติที่สามารถเคลื่อนไหวตามใบหน้าของผู้ใช้งานได้ และแชร์ต่อให้แก่เพื่อนๆ ในโซเชียลมีเดียได้อีกด้วย

จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า Vivo V11 มีจุดเด่นที่น่าสนใจในหลายด้านเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ตัวเครื่องสุดพรีเมียม หรือฟีเจอร์ที่จัดมาให้แบบครบครัน ในราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการที่ 13,999 บาท ถือได้ว่าคุณสมบัติตัวเครื่องที่ได้เมื่อเทียบกับราคานั้นค่อนข้างสมเหตุสมผล ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบสนองต่อการใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชมการ รีวิว Vivo V11 พร้อมกันได้เลยค่ะ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์ ของ Vivo V11

Vivo V11 มาในแพ็กเกจสีขาวสะอาดตา

ภายในกล่องมีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น อะแดปเตอร์ 9V/2A, สายเชื่อมต่อแบบ microUSB, หูฟัง, เคสใส, เข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด และคู่มือการใช้งาน

ภาพตัวอย่างการสวมใส่เคสใสที่แถมมาให้ภายในแพ็กเกจ โดยมีจุกสำหรับป้องกันฝุ่นที่ด้านล่างตัวเครื่อง

Vivo V11 มาพร้อมหน้าจอแสดงผล Super AMOLED ขนาด 6.41 นิ้ว แบบ Halo FullView Display ในอัตราส่วน 19.5:9 โดยมีพื้นที่การแสดงผลคิดเป็น 91.27% ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2340 พิกเซล) และครอบทับด้วยกระจกขอบโค้งแบบ 2.5D สำหรับตัวเครื่องมีขนาด 157.91x75.08x7.9 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 156 กรัม

Vivo V11 มาพร้อมการปรับดีไซน์ใหม่แบบ Halo FullView Display ด้วยการลดขนาดรอยบาก (Notch) ที่ด้านบน ให้เหลือพื้นที่สำหรับกล้องหน้าเท่านั้น และเหนือขึ้นไปเป็นลำโพงสำหรับสนทนา

นอกจากนี้ Vivo V11 ยังรองรับระบบการปลดล็อกหน้าจอด้วยใบหน้าด้วยแสงอินฟราเรด (Face Access) โดยทำการจับจุดบนใบหน้ากว่า 1,024 จุด และสามารถสแกนได้แม้ในที่แสงน้อย ซึ่งปลดล็อกได้อย่างรวดเร็วทันใจ

ด้านหน้าส่วนล่างประกอบด้วย ปุ่มกดแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent App, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ

Vivo V11 มาพร้อมเทคโนโลยีการสแกนนิ้วบนหน้าจอ (In-Display Fingerprint ID) ที่ได้รับสืบทอดมาจากรุ่นพี่จากตระกูล X-Series โดยสามารถสแกนได้รวดเร็วทันใจ

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีถาดใส่ซิมการ์ด nanoSIM แบบ Triple-Slot ซึ่งรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด และการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ที่ความจุสูงสุด 256GB ได้ในเวลาเดียวกัน

ด้านขวาของตัวเครื่อง มีปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อกหน้าจอ และปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง

ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีไมโครโฟนตัวที่สอง

ที่ด้านล่างประกอบด้วยช่องสำหรับเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนตัวหลัก, พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ microUSB และลำโพงเสียง

นอกจากปรับดีไซน์หน้าจอไร้ขอบแบบใหม่แล้ว Vivo V11 ยังมาพร้อมกับตัวเครื่องที่ผลิตจากกระจกขอบโค้ง 3D Glass ที่มีการไล่เฉดสีเล่นกับแสง โดยตัวเครื่องที่ทางทีมงานนำมารีวิวให้ได้ชมกันเป็นสี Starry Night

กล้องตัวหลักที่ด้านหลังของ Vivo V11 เป็นแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 12+5 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี AI และเทคโนโลยี 2PD ถ่ายภาพคมชัดสูงสุด 24 ล้านพิกเซล, จับโฟกัสภายใน 0.03 วินาที โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8+F/2.4, รองรับฟีเจอร์ AI Backlight HDR ในการใช้เทคโนโลยีรวม 6 ช็อตให้เป็นภาพเดียว ซึ่งรับแสงได้ถึง 11EV, ฟีเจอร์ AI Low Light HDR ที่สามารถถ่ายภาพแสงน้อย หรือแสงจ้าได้คมชัด, ฟีเจอร์ AI Scene Recognition และฟีเจอร์ AI Portrait Composition สำหรับช่วยจัดองค์ประกอบาพ โดยการวิเคราะห์ และแยกแยะฉาก และวิว เพื่อให้ภาพที่ได้มีความสวยงาม

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ ภายใน Vivo V11

Vivo V11 ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 8.1 Oreo ซึ่งถูกครอบทับด้วย FunTouch OS 4.5 ที่เป็นเวอร์ชันล่าสุด และสามารถใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE

มีหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB ที่สามารถเพิ่ม microSD Card ได้อีก 256GB และหน่วยความแรม (RAM) ขนาด 6GB

เมื่อกดปุ่ม Recent Apps จะพบกับหน้าแอปพลิเคชันทั้งหมดที่เปิดใช้งานเอาไว้ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกปิดแอปพลิเคชันที่เปิดค้างเอาไว้ได้ เพียงแค่เลื่อนหน้าต่างแอปนั้นๆ ไปยังด้านบน หรือปิดแอปพลิเคชันทั้งหมดภายในครั้งเดียวได้อย่างง่ายดาย ด้วยการกดปุ่มไอคอน X ที่ด้านล่าง

เมื่อกดค้างที่หน้าจอจะเป็นการเข้าสู่เมนูการปรับแต่งหน้าจอ โดยผู้ใช้สามารถปรับตำแหน่งของไอคอน พร้อมเลือกใช้งาน Widget ที่ต้องการได้

เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Notification Center ซึ่งเป็นหน้ารวมสำหรับการแสดงแจ้งเตือนต่างๆ และเมื่อลากจากขอบด้านล่างของหน้าจอจะพบกับ Toggle Swtich ปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชันต่างๆ มากมาย เช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ต, Bluetooth หรือการหมุนหน้าจออัตโนมัติ

นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถปรับแต่งตำแหน่งของคีย์ลัดเองได้ด้วย

ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนธีมของตัวเครื่องได้ผ่านแอปพลิเคชัน i Theme

รวมถึง Font ตัวอักษรรูปแบบต่างๆ และการตั้งค่าอื่นๆ บนหน้าจอ

Vivo V11 มาพร้อมฟีเจอร์ Always On Display ที่สามารถเลือกรูปแบบ รวมถึงการตั้งค่าเวลาในการแสดงผลได้

สำหรับบริการต่างๆ จากทาง Google รวมถึงแอปพลิเคชันพื้นฐาน ก็มีการติดตั้งมาไว้ให้ได้ใช้งานอย่างครบครัน

Vivo V11 สามารถปรับตั้งค่าการแสดงผลของหน้าจอได้อย่างหลากหลาย พร้อมโหมด Eye Protection และการปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอที่เลือกระดับได้ตามต้องการ

และด้วยดีไซน์ของ Vivo V11 ที่เป็นแบบ Halo FullView Display ในอัตราส่วน 19.5:9 จึงสามารถปรับให้บางแอปพลิเคชันสามารถแสดงผลในสัดส่วนแบบเต็มหน้าจอได้

สามารถสลับตำแหน่งของปุ่ม Navigation Buttons ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้

สำหรับฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะ มาให้ใช้งานบน Vivo V11 ด้วยเช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย โหมด Smart Wake, Smart turn on/off screen และ Smart Call ซึ่ง Smart Wake เป็นการวาดตามรูปแบบต่างๆ เพื่อเปิดใช้งานคีย์ลัด เช่น การวาดตัวอักษร C เพื่อเข้าสู่ฟังก์ชันการโทรศัพท์ หรือการวาดตัวอักษร m เพื่อเข้าสู่แอปพลิเคชัน i Music สำหรับฟังเพลง

Smart turn on/off screen การเปิด-ปิด หน้าจอแบบอัจฉริยะ โดยสามารถตั้งค่าให้หน้าจอติดเมื่อยกตัวเครื่องขึ้น หรือสัมผัสหน้าจอ 2 ครั้งติดกันเพื่อเป็นการล็อกหน้าจอ และ Smart Call การโทรอัจฉริยะ

Vivo V11 มาพร้อมระบบผู้ช่วยอัจฉริยะใหม่ล่าสุดอย่าง Jovi AI Assistant ที่รองรับฟังก์ชันหลักๆ 3 ด้านด้วยกัน ได้แก่ Smart Camera, Smart Scene และ Game Mode

เริ่มที่ Smart Camera ที่ประกอบไปด้วยเทคโนโลยี AI Beauty ในการปรับโครงหน้าได้ทุกส่วนตามที่ต้องการ, AI Scene Identification ในการแยกแยะซีนที่ถ่ายพร้อมปรับค่าให้แบบอัตโนมัติ และ AI Portrait Framing สำหรับช่วยจัดองค์ประกอบภาพ และช่วยแนะนำมุมสวยขณะถ่าย

Smart Scene จะเป็นการแจ้งเตือนข่าวสารต่างๆ รวมถึงพยากรณ์อากาศ และตารางนัดหมาย เพื่อให้จัดการตารางเวลาได้ง่ายขึ้น และ Game Mode โหมดพิเศษที่ถูกออกแบบมาสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ

Vivo V11 มาพร้อมโหมดประหยัดพลังงาน และรองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ Dual-Engine Quick Charge

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจบน Vivo V11 คือ App Clone สำหรับโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน ซึ่งในเบื้องต้นนั้นสามารถโคลนนิ่งได้เฉพาะแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook หรือ Line จึงทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์

สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยของ Vivo V11 มีทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ติดตั้งไว้ภายใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint ID) ที่สามารถเลือกการแสดงผลขณะปลดล็อกได้ 3 รูปแบบ

และระบบการปลดล็อกหน้าจอด้วยใบหน้าด้วยแสงอินฟราเรด (Face Access) โดยสามารถสแกนได้แม้ในที่แสงน้อย

Vivo V11 ยังมาพร้อม i Manager แอปพลิเคชันสำหรับจัดการประสิทธิภาพภายในตัวเครื่อง เช่น การล้างพื้นที่ (การเคลียร์แรม), ตั้งค่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตของแต่ละแอปพลิเคชัน หรือการจำกัดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

สำหรับบริการ vivoCloud ก็มีให้ใช้งานบน Vivo V11 เช่นเดียวกัน โดยผู้ใช้สามารถสำรองข้อมูลต่างๆ ภายในตัวเครื่อง เช่น ข้อความ SMS, รายชื่อผู้ติดต่อ และบุ๊คมาร์คของเว็บเบราวเซอร์ ไปยังระบบคลาวอินเทอร์เน็ตของ Vivo ได้

Vivo ได้ทำการรวบรวมแอปพลิเคชันเด่นมาให้ได้ดาวน์โหลดกันผ่านทาง Vivo App Store ด้วยเช่นกัน

Vivo V11 รองรับการเล่นเพลง และไฟล์เสียงต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน i Music พร้อมเทคโนโลยี DeepField สำหรับช่วยขับเสียงร้องให้มีความชัดเจน พร้อมปรับเสียงเบสให้มีอิมแพคมากยิ่งขึ้น

ในส่วนของเว็บเบราว์เซอร์ก็ตอบสนองต่อการใช้งานได้ดี ไหลลื่น และสามารถแสดงเนื้อหาทั้งหมดได้อย่างถูกต้องครบถ้วน

ทางด้านอัลบั้มภาพถ่ายนั้นสามารถแสดงภาพถ่ายได้หลักๆ 2 แบบ คือ แสดงแบบแยกอัลบั้ม กับแบบรวมภาพถ่ายทั้งหมด

Vivo V11 มีฟังก์ชัน Screen-Split ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อมๆ กัน โดยสามารถตั้งค่าเปิดการใช้งานได้ 2 รูปแบบ

รวมทั้งยังมีโหมดการใช้งานมือเดียว ซึ่งเป็นการปรับขนาดของแผงตัวเลขโทรศัพท์, แป้นพิมพ์รหัสผ่านให้เล็กลง ซึ่งช่วยให้ใช้งานมือถือด้วยมือเดียวอย่างสะดวกขึ้น และสามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการลาก 3 นิ้ว จากบริเวณด้านล่างหน้าจอไปยังด้านบน

และยังสามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้ด้วย

ในแอปพลิเคชัน Messages บน Vivo V11 มี Vivo Funmoji ลูกเล่นน้องใหม่สำหรับสร้างอีโมจิตัวการ์ตูนสุดน่ารักในรูปแบบสามมิติ ที่สามารถเคลื่อนไหวตามใบหน้าของผู้ใช้งานได้ และแชร์ต่อให้แก่เพื่อนๆ ในโซเชียลมีเดียได้อย่างง่ายดาย

นอกจากนี้ Vivo V11 ยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน AI Game Mode 4.0 ซึ่งเป็นโหมดพิเศษที่ถูกออกแบบมาสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น การโชว์เบอร์โทรสายเรียกเข้าในรูปแบบป็อบอัปเท่านั้น ทำให้เกมไม่ถูกสลับไปยังหน้ารับสายสนทนา

รวมทั้งคีย์บอร์ดภายในฟังก์ชัน AI Game Mode ก็จะถูกย่อให้มีขนาดเล็กลง เพื่อป้องกันปัญหาคีย์บอร์ดบดบังการแสดงผลภายในเกม

สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง Vivo V11 นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor และ Magnetic Sensor

สามารถจับสัญญาณดาวเทียม GPS ในที่กลางแจ้งได้ดี พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย โดยจากภาพตัวอย่างการทดสอบข้างต้นจะเห็นว่าสามารถจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 41 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 13 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ที่กำลังใช้งานอยู่ หรือสภาพอากาศด้วยนั่นเอง

Vivo V11 มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 660 AIE แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.2 GHz โดยมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 512 , หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB ที่สามารถเพิ่ม microSD ได้อีก 256GB และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo

Vivo V11 มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 124,449 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 4 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 1,451 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 5,311 คะแนน

สำหรับการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 1,217 คะแนน ส่วนการทดสอบแบบ Vulkan ได้คะแนนการทดสอบที่ 958 คะแนน

Vivo V11 รองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด

จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสามมิติอย่าง Asphalt 9, PUBG Mobile และ ROV ก็พบว่า Vivo V11 นั้นสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างไหลลื่น ไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุก แต่ก็มีการสะสมความร้อนให้เห็นบ้าง

Vivo V11 มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ความละเอียดระดับ Full HD+ และมีอัตราส่วนแบบ 19.5:9 จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ

การใช้งานกล้องดิจิทัล สำหรับถ่ายภาพนิ่ง และวิดีโอ ของ Vivo V11

สำหรับกล้องถ่ายภาพของ Vivo V11 เป็นแบบคู่ (Dual Camera) พร้อมเทคโนโลยี AI ความละเอียด 12+5 ล้านพิกเซล และเทคโนโลยี 2PD ถ่ายภาพคมชัดสูงสุด 24 ล้านพิกเซล โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์เรียบหรู สบายตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน

สามารถเลือก เปิด-ปิด ไฟแฟลช, โหมด HDR, โหมด Portrait และ Live Photo ได้

ตัวอย่างภาพถ่ายจากฟังก์ชัน Live Photo

ในโหมดการถ่ายภาพปกติ มีฟังก์ชัน AI Scene Recognition ที่เป็นการนำเอาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยวิเคราะห์สภาพแวดล้อม และวัตถุที่อยู่ตรงหน้า เพื่อปรับแต่งการตั้งค่าของกล้องให้เหมาะสมแบบอัตโนมัติ (ตัวอย่างเป็นหมวดหมู่ อาหาร, แมว และก้อนเมฆ)

รวมถึงฟังก์ชันสำหรับถ่ายภาพในที่แสงน้อยอย่าง AI Backlight HDR และ AI Low Light HDR

และรองรับการถ่ายภาพพร้อม Filter แบบต่างๆ

สำหรับโหมด Portrait สามารถปรับความกว้างของรูรับแสงได้ตั้งแต่ F/0.95-F/16

ผู้ใช้ยังสามารถปรับระดับความเบลอในภายหลังได้อีกด้วย

รวมถึงโหมด AI Face Shaping ที่สามารถปรับแต่งโครงสร้างใบหน้าได้ตามต้องการได้ทุกส่วน และรองรับโหมด Portrait ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ยังรองรับฟีเจอร์ AI Portrait Framimg ที่ช่วยแนะนำมุมสวยของการถือกล้องขณะถ่ายภาพ

หนึ่งในลูกเล่นที่น่าสนใจของ Vivo V11 ได้แก่ AR Stickers สำหรับการถ่ายภาพพร้อมสติกเกอร์น่ารักๆ ที่มีให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบ

สำหรับการถ่ายโหมด Pro บน Vivo V11 มาพร้อมกับรายละเอียดการตั้งค่าต่างๆ ที่ครบครัน และครอบคลุมสำหรับช่างภาพแทบทั้งหมด

Vivo V11 ยังรองรับ Google Lens บริการค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ที่ถ่ายจาก Google ได้อย่างง่ายดาย

การถ่ายวิดีโอบน Vivo V11 รองรับเทคโนโลยี AI Face Shaping ที่สามารถปรับแต่งโครงสร้างใบหน้าได้ตามต้องการได้ทุกส่วน และสามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดที่ระดับ HD 720p ส่วนในโหมดปกติสามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดได้ที่ระดับ 4K Ultra HD เลยทีเดียว

ทางด้านกล้องดิจิทัลด้านหน้าก็มีหน้าตา Interface ที่สามารถใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งแสดงไอคอนเอาไว้ให้ใช้งานได้ทันที และสามารถปรับค่าต่างๆ ได้ที่เมนูตั้งค่า

สามารถเลือก เปิด-ปิด ไฟแฟลชหน้าจอ, โหมด HDR, โหมด AI Selfie Lighting และ Live Photo ได้

กล้องหน้าของ Vivo V11 มาพร้อมเทคโนโลยี AI Face Shaping ที่สามารถปรับแต่งโครงสร้างใบหน้าได้ตามต้องการได้ทุกส่วน อีกทั้งยังสามารถตั้งค่าแสงในโหมด AI Selfie Lighting ได้ในเวลาเดียวกันด้วย

ฟังก์ชัน Group Selfie สำหรับถ่ายเซลฟี่ในมุมกว้างก็มีให้ใช้งานบน Vivo V11 ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นน่ารักๆ อย่าง AR Stickers ให้ได้เลือกใช้งานหลากรูปแบบด้วยเช่นกัน

การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าของ Vivo V11 ก็รองรับโหมด AI Face Shaping ด้วยเช่นกัน โดยสามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดที่ระดับ HD 720p ส่วนในโหมดปกติสามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดได้ที่ระดับ FUll HD 1080p

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังคู่ Dual Camera ความละเอียดระดับ 12+5 ล้านพิกเซล ของ Vivo V11

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน AI Backlight HDR

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน AI Scene Recognition

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน AI Scene Recognition

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน AI Scene Recognition

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน AI Scene Recognition

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน Portrait

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน Portrait

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน Portrait

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน Portrait และ AI Face Shaping

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน Portrait และ AI Face Shaping

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน AI Portrait Framing

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน Portrait และ AI Portrait Framing

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน AI Backlight HDR

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ ในสภาวะที่มีแสงน้อย

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ ในสภาวะที่มีแสงน้อย

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ ในสภาวะที่มีแสงน้อย

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ ในสภาวะที่มีแสงน้อย

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ ในสภาวะที่มีแสงน้อย พร้อมฟังก์ชัน AI Backlight HDR

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้าความละเอียด 25 ล้านพิกเซล ของ Vivo V11

ภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมดปกติ

ภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน AI Selfie Lighting แบบ Natural Light และ Studio Light

ภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน AI Selfie Lighting แบบ Stereo Light และ Loop Light

ภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน AI Selfie Lighting แบบ Rainbow Light และ Monochrome Backgroud

ภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน AI Face Shaping

ภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน AI Face Shaping และ AI Selfie Lighting แบบ Natural Light กับ Studio Light

ภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน AI Face Shaping และ AI Selfie Lighting แบบ Stereo Light กับ Loop Light

ภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมดปกต ิพร้อมฟังก์ชัน AI Face Shaping และ AI Selfie Lighting แบบ Rainbow Light กับ Monochrome Backgroud

ภาพถ่ายเซลฟี่พร้อมฟีเจอร์ AR Stickers

ภาพถ่ายในโหมดปกติ แบบย้อนแสง

ภาพถ่ายในโหมดปกติ แบบย้อนแสง พร้อมฟังก์ชัน AI Backlight HDR

สรุปผลการทดสอบของ Vivo V11

จากการทดสอบเรียกได้ว่า Vivo V11 เป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่ไม่ควรมองข้าม ด้วยการออกแบบดีไซน์ใหม่หมดจด ตั้งแต่หน้าจอไร้ขอบแบบ Halo FullView Display โดยการลดพื้นที่รอยบาก (Notch) จากในรุ่นก่อนหน้าให้เล็กลง จึงทำให้มีพื้นที่การแสดงผลขนาดใหญ่เต็มตากว่าเดิมที่ 6.41 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 ผสานเทคโนโลยี Super AMOLED และความละเอียดระดับ Full HD+ เรียกได้ว่าสามารถใช้งานได้อย่างเต็มตาเต็มอารมณ์ และคมชัดกว่าที่เคยรวมถึงตัวเครื่องแบบ Metal-Glass การผสานกันระหว่างกระจกขอบโค้ง 3D Glass ที่ด้านหลัง และกรอบด้านข้างโลหะ พร้อม การไล่เฉดสี แบบใหม่ล่าสุดที่ช่วยเสริมให้ตัวเครื่องมีความพรีเมียมในทุกสัมผัส

Vivo V11 มาพร้อมกับ ชิปเซ็ต Octa-Core Qualcomm Snapdragon 660 AIE พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 512 จับคู่กับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB บนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo ที่ถูกครอบทับด้วย FunTouch OS 4.5 เวอร์ชันใหม่ ซึ่งสามารถตอบสนองการใช้งานในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการเล่นเกมที่มีกราฟิกสูงๆ ได้ค่อนข้างน่าพอใจ แม้จะมีการสะสมความร้อนให้ได้เห็นบ้างเมื่อเล่นเป็นระยะเวลานาน อีกทั้งยังสามารถเก็บภาพ, ไฟล์ข้อมูล,แอปพลิเคชัน และเกม ได้อย่างจุใจโดยไม่ต้องหมั่นเคลียร์พื้นที่บ่อยๆ ด้วย ความจุ 128GB พร้อมเพิ่ม microSD Card ได้อีก 256GB รวมถึงหมดปัญหาการเลือกใช้งานในช่องซิมการ์ดที่ 2 เนื่องจาก Vivo V11 มาพร้อมกับถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot ที่สามารถใช้งาน 2 ซิมการ์ด + 1 microSD Card ได้ในเวลาเดียวกัน

Vivo V11 มีฟีเจอร์เอาใจเกมเมอร์อย่าง AI Game Mode 4.0 ซึ่งเป็นโหมดพิเศษที่ถูกออกแบบมาสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น การโชว์เบอร์โทรสายเรียกเข้าในรูปแบบป็อบอัปเท่านั้น ทำให้เกมไม่ถูกสลับไปยังหน้ารับสายสนทนา และการย่อขนาดคีย์บอร์ดภายในเกมให้มีขนาดเล็กลง เพื่อป้องกันปัญหาคีย์บอร์ดบดบังการแสดงผลนั่นเอง

หนึ่งในฟีเจอร์ที่น่าสนใจบน Vivo V11 คือรองรับเทคโนโลยีการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-Display Fingerprint ID) เหมือนกับรุ่นพี่ในตระกูล X-Series ที่สามารถเลือกการแสดงผลบนหน้าจอขณะปลดล็อกได้ 3 รูปแบบ พร้อมกับ ระบบสแกนใบหน้าด้วยแสงอินฟราเรด (Face Access) โดยทำการจับจุดบนใบหน้ากว่า 1,024 จุด และสามารถสแกนได้ในที่แสงน้อย ซึ่งปลดล็อกได้อย่างรวดเร็วทันใจ

ทางด้านการถ่ายภาพ Vivo V11 มาพร้อมกล้องคู่ Dual Camera พร้อมเทคโนโลยี AI ความละเอียด 12+5 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี 2PD ที่รองรับการ ถ่ายภาพคมชัดสูงสุด 24 ล้านพิกเซล และฟีเจอร์ AI Backlight HDR ในการรวม 6 ช็อตให้เป็นภาพเดียว ซึ่งรับแสงได้ถึง 11EV, ฟีเจอร์ AI Low Light HDR ที่สามารถถ่ายภาพแสงน้อย หรือแสงจ้าได้คมชัด, ฟีเจอร์ AI Scene Recognition และฟีเจอร์ AI Portrait Framing ที่ช่วยจัดองค์ประกอบของภาพ โดยการแนะนำมุมสวยของการถือกล้องนั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นฟีเจอร์ที่เหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไป และไม่คุ้นชินกับการถ่ายภาพบุคคลมากนัก นอกจากนี้ทาง Vivo ยังร่วมมือกับ Google ด้วยฟีเจอร์ Google Lens ที่สามารถค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ที่ถ่ายได้อย่างง่ายดาย

สำหรับ กล้องหน้าคมชัด 25 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์ HDR ผสานพลัง AI โดยรองรับฟีเจอร์ AI Face Shaping ในการปรับโครงสร้างบนใบหน้าได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็น ความเรียบเนียนของผิว, โทนสีของผิว, ความขาว, ขนาดใบหน้า, กราม, ดวงตา, จมูก และปาก รวมถึง AI Selfie Lighting ในการจำลองหน้าแบบ 3 มิติ พร้อมปรับแต่งแสงในรูปแบบต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มอารมรณ์ให้กับภาพ และลูกเล่นน่ารักๆ อย่าง AR Stickers ที่มีให้เลือกใช้งานหลากรูปแบบนอกจากนี้ยังมี Vivo Funmoji ลูกเล่นน้องใหม่บนแอปพลิเคชัน Messages สำหรับสร้างอีโมจิตัวการ์ตูนสุดน่ารักในรูปแบบสามมิติ ที่สามารถเคลื่อนไหวตามใบหน้าของผู้ใช้งานได้ และแชร์ต่อให้แก่เพื่อนๆ ในโซเชียลมีเดียได้อีกด้วย

Vivo V11 มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 3400 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Dual-Engine Fast Charging รวมถึงรองรับฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านอื่นๆ อย่างครับครัน ไม่ว่าจะเป็น Jovi AI Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะ, App Clone สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ อย่างเช่น เช่น Facebook หรือ Line ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์ในเวลาเดียวกัน, รองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G LTE และ 3G รวมถึงฟังก์ชัน Screen-Split ในการใช้งานพร้อมกัน 2 แอปพลิเคชันได้พร้อมกัน และยังสามารถ บันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้

และจากการทดสอบทั้งหมดพอจะสรุปได้ว่า Vivo V11 เหมาะสำหรับท่านที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ พร้อมฟีเจอร์ครบครันทุกการใช้งาน บนดีไซน์แบบสมัยนิยม ด้วยจอไร้ขอบขนาดใหญ่ในอัตราส่วนที่กว้างขึ้น และช่วยให้ใช้งานได้อย่างเต็มตา เต็มอารมณ์ บนตัวเครื่องไล่เฉดสีแบบใหม่ที่กำลังมาแรง รวมถึงชื่นชอบการถ่ายรูปทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง ผสานเทคโนโลยี AI และฟีเจอร์สำหรับถ่ายภาพที่หลากหลาย รวมถึงเน้นการเล่นเกมโดยไม่ถูกขัดจังหวะ ในราคาที่จับต้องได้

สำหรับ Vivo V11 เปิดราคาอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่ 13,999 บาท โดยวางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่ร้าน Vivo BrandShop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Vivo ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Vivo V11 มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ

จุดเด่นของ Vivo V11

- ที่ด้านหลังตัวเครื่องครอบทับด้วยกระจกขอบโค้งแบบ 3D Glass - บอดี้สีไล่เฉด (Gradient) ที่สามารถสะท้อนเล่นกับแสงในมุมต่างๆ ได้แก่ Nebula (ม่วง-น้ำเงิน) และ Starry Night (ดำ-น้ำเงิน) - ตัวเครื่องขนาด 157.91x75.08x7.9 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 156 กรัม - หน้าจอแสดงผล Super AMOLED ขนาด 6.41 นิ้ว แบบ Halo FullView Display ในอัตราส่วน 19.5:9 โดยมีพื้นที่การแสดงผลคิดเป็น 91.27% ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2340 พิกเซล) และครอบทับด้วยกระจกขอบโค้งแบบ 2.5D - ชิปเซ็ตประมวลผล (CPU) Qualcomm Snapdragon 660 AIE แบบ Octa-Core Processor - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Adreno 512 - หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) ความจุ 128GB - รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card (TransFlash) ความจุ 256GB - ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual nanoSIM) และ microSD Card ได้ในเวลาเดียวกัน - กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 25 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์ HDR ผสานเทคโนโลยี AI โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.0, รองรับฟีเจอร์ AI Face Shaping ในการปรับแต่งแสงแบบ 3D เพื่อให้ใบหน้ามีมิติ และฟีเจอร์ AI Selfie Lighting ในการจำลองหน้าแบบ 3 มิติ พร้อมนำไปปรับให้แลดูเป็นธรรมชาติ - กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 12+5 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี 2PD ถ่ายภาพคมชัดสูงสุด 24 ล้านพิกเซล, จับโฟกัสภายใน 0.03 วินาที โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8+F/2.4, รองรับฟีเจอร์ AI Backlight HDR เป็นการใช้เทคโนโลยีรวม 6 ช็อตให้เป็นภาพเดียว ซึ่งรับแสงได้ถึง 11EV, ฟีเจอร์ AI Low Light HDR ที่สามารถถ่ายภาพแสงน้อย หรือแสงจ้าได้คมชัด, ฟีเจอร์ AI Scene Recognition และฟีเจอร์ AI Portrait Composition สำหรับช่วยจัดองค์ประกอบภาพ โดยการวิเคราะห์ และแยกแยะฉากและวิวในเฟรมนั้นๆ - เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังอยู่ภายใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint ID) - ระบบปลดล็อกใบหน้าด้วยแสงอินฟราเรด (Face Access) โดยทำการจับจุดบนใบหน้ากว่า 1,024 จุด และสามารถสแกนได้ในที่แสงน้อย - ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi AI Assistant - ฟังก์ชัน Vivo Funmoji สำหรับสร้างอีโมจิตัวการ์ตูนสุดน่ารักในรูปแบบสามมิติ ที่สามารถเคลื่อนไหวตามใบหน้าของผู้ใช้งานได้ และแชร์ต่อให้แก่เพื่อนๆ ในโซเชียลมีเดียได้ - ฟังก์ชัน App Clone สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ - ช่องเสียบหูฟังมาตรฐานแบบ 3.5 มิลลิเมตร - แบตเตอรี่ความจุ 3400 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Dual-Engine Fast Charging - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo พร้อมครอบทับด้วย FunTouch OS 4.5 - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, EDGE, GPRS และ WiFi - รองรับการสแตนด์บายบนเครือข่าย 4G พร้อมกันทั้ง 2 ซิมการ์ด (Dual 4G) - ระบบ GPS+A-GPS ในตัว พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS และ Beidou ของประเทศจีน - วิทยุ FM Stereo ในตัว - ราคา 13,999 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม เมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Vivo V11

- ตัวเครื่องใช้ดีไซน์แบบกระจก จึงอาจเกิดคราบเปื้อน หรือรอยนิ้วมือได้ง่าย - ตัวเครื่องมีการสะสมความร้อน เมื่อมีการประมวลผลหนักๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน - หน้าจอ Halo FullView Display ในอัตราส่วน 19.5:9 ยังไม่สามารถใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันทั้งหมดได้ - ด้วยความที่หน้าจอมีขอบบาง อาจทำให้อุ้งมือของผู้ใช้ไปสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจ - พอร์ตเชื่อมต่อยังคงเป็นแบบ microUSB ยังไม่ใช่ USB Type-C

โปรดทราบ * โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *

Leave a Comment