รีวิว OPPO Reno 10x Zoom สมาร์ทโฟนซูมไกลที่สุด 60 เท่า พร้อมกล้องไฮเอนด์ และสเปกแรงระดับท็อป บนดีไซน์สุดพรีเมียม :: Thaimobilecenter.com

สมาร์ทโฟนซูมไกลที่สุด 60 เท่า พร้อมกล้องไฮเอนด์ และสเปกแรงระดับท็อป บนดีไซน์สุดพรีเมียม ด้วยกล้อง Triple Camera 10x Hybrid Zoom ผสานกล้องหน้า Rising Camera, จอ AMOLED Panoramic Screen ไร้รูไร้รอยบาก 6.6 นิ้ว, เทคโนโลยีสแกนนิ้วบนหน้าจอ Hidden Fingerprint Unlock 2.0, ชิปเซ็ต Snapdragon 855 ตัวท็อป, RAM 8GB+ROM 256GB, เทคโนโลยีชาร์จเร็ว VOOC 3.0 บนแบตเตอรี่ 4065 mAh และลำโพงคู่ Dolby Atmos บนบอดี้ไล่เฉดสีสวยพรีเมียม

13 มิถุนายน 2019 - เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ ดังนั้นหลายท่านก็คงจะยังจำกันได้ และรู้สึกเซอร์ไพรส์กันไม่น้อย เพราะเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2019 ที่ผ่านมา สมาร์ทโฟนตระกูลใหม่ป้ายแดงอย่าง OPPO Reno Series ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยประเดิมด้วย OPPO Reno และ OPPO Reno 10x Zoom สองสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม กับการดีไซน์จอไร้ขอบไร้รูไร้รอยบากโฉมใหม่แบบ AMOLED Panoramic Screen ที่มีการการฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ภายใต้หน้าจอ (Hidden Fingerprint Unlock 2.0) บนตัวเครื่องไร้รอยต่อที่ออกแบบมาให้มีความสมมาตร กับเฉดสีใหม่อย่าง Ocean Green และ Jet Black พร้อมติดตั้ง กล้องหน้าเลื่อนได้อัตโนมัติแบบ Pivot Rising Camera ที่ใช้เวลาเปิดใช้งานเพียง 0.8 วินาที และผ่านการทดสอบกว่า 2 แสนครั้ง รวมถึงรองรับฟีเจอร์ตรวจจับแรงโน้มถ่วง เมื่อเครื่องหล่น ตัวเครื่องจะเก็บกล้องให้เองโดยอัตโนมัติ

สำหรับ OPPO Reno 10x Zoom ถือเป็นสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมของ OPPO ที่มีฟีเจอร์ไฮเอนด์จัดเต็มน้องๆ ตระกูลเรือธงอย่าง Find Series เลยทีเดียว ด้วย หน้าจอ AMOLED ที่มีขนาดใหญ่ถึง 6.6 นิ้ว กับความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2340 พิกเซล : 387 ppi) ในอัตราส่วนแบบ 19.5:9 พร้อมครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 6 ซึ่งเป็นกระจกนิรภัยเวอร์ชันล่าสุด และประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 855 แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็ว 2.84 GHz บนเทคโนโลยีการผลิตระดับ 7nm พร้อมด้วยหน่วยประมวลผลด้าน AI โดยเฉพาะในเวอร์ชันที่ 4 (4th Gen AI Engine) ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มจากรุ่นก่อนถึง 45% โดยมากับหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Adreno 640 และรองรับระบบระบายความร้อนถึง 3 ชั้น (3 Layer Cooling Technology) ที่ช่วยลดอุณหภูมิได้ถึง 13% พร้อมจับคู่กับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB และมีหน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.1 ที่ขนาด 256GB

OPPO Reno 10x Zoom ยังรองรับเทคโนโลยี Hyper Boost 2.0 ที่ช่วยเร่งประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวม 3 ด้านหลักๆ ได้แก่ แอปพลิเคชัน (AppBoost), ระบบ (SystemBoost) และเกม (GameBoost 2.0) ให้ดีขึ้น โดยใน GameBoost 2.0 ก็แยกออกเป็น TouchBoost สำหรับช่วยเพิ่ม Response Rate ในเกมที่เน้นกราฟิกได้มากขึ้น 21.6% และ FrameBoost ที่ช่วยลดปัญหาเฟรมเรทตก พร้อมล็อกเฟรมเรทให้อยู่ในระดับสูง ซึ่งมีความมั่นคงมากขึ้นถึง 31.38% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์ตัวจริงอย่าง Game Assistant และ Game Space ด้วยเช่นกัน รวมถึง ลำโพงแบบสเตอริโอ ที่มากับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos และฟังก์ชัน Game Shock กับการสั่นสะเทือนตามแอคชั่นต่างๆ ภายในเกมด้วยมอเตอร์ที่ติดตั้งไว้ เพื่อช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมอีกด้วย

โดยทำงานอยู่บน ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ที่ครอบทับด้วย ColorOS 6.0 เวอร์ชันล่าสุด กับการปรับโฉมดีไซน์ User Interface หมดจด พร้อมเพิ่มลูกเล่นที่น่าสนใจมากมาย และมีแบตเตอรี่ความจุ 4065 mAh ที่มากับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ VOOC Flash Charge 3.0 (5V/4A/20W)

ด้านการถ่ายภาพถือเป็นจุดขายสำคัญของ OPPO Reno 10x Zoom เลยก็ว่าได้ ด้วยระบบ กล้องหลังทั้งหมด 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียด  48+13+8 ล้านพิกเซล โดยเลือกใช้เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX586 พร้อมเลนส์ Telephoto แบบ Periscope และ Wide Angle กว้าง 120 องศา ที่มีขนาดรูรับแสง F/1.7 + F/3.0 + F/2.2 รองรับเทคโนโลยีการโฟกัสภาพแบบ Triple Focus , โหมด Portrait, Smart HDR, โหมดถ่ายภาพกลางคืน Ultra Night Mode 2.0 , ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Dual OIS , การซูมแบบ 10x Hybrid Zoom พร้อม ซูมสูงสุดที่ 60 เท่า (60x Digital Zoom) และรองรับการบันทึกวิดีโอสูงสุดที่ระดับ 4K 60fps ส่วนกล้องหน้าสไลด์ซ่อนได้อัตโนมัติแบบ Pivot Rising Camera มีความละเอียดอยู่ที่ 16 ล้านพิกเซล พร้อมขนาดรูรับแสง F/2.0 เลนส์มุมกว้าง 79.3 องศา รองรับ AI Beauty, HDR และ Portrait

จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า OPPO Reno 10x Zoom มีจุดเด่นที่น่าสนใจในหลายด้านเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ตัวเครื่องสุดพรีเมียม หรือฟีเจอร์ระดับไฮเอนด์ที่จัดมาให้แบบครบครัน และระบบการถ่ายภาพที่ดีกว่าเดิม กับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่ 28,990 บาท ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบสนองต่อการใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชมการรีวิว OPPO Reno 10x Zoom ไปพร้อมกันได้เลยค่ะ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

กล้องหน้า Pivot Rising Camera ของ OPPO Reno 10x Zoom มาพร้อมกับสเต็ปเปอร์มอเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดเสียง และแรงเสียดทานในการเลื่อนของตัวกล้อง โดยใช้เวลาในการเปิดใช้งานทั้งหมด 0.8 วินาที พร้อมผ่านการทดสอบกว่า 2 แสนครั้ง และรองรับฟีเจอร์ตรวจจับแรงโน้มถ่วง เมื่อเครื่องหล่น ตัวเครื่องจะเก็บกล้องเองโดยอัตโนมัติ โดยทาง OPPO ระบุว่า หากเปิดใช้งานกล้องหน้าวันละ 100 ครั้ง จะสามารถใช้งานได้นานถึง 5 ปี

รองรับการโฟกัสภาพแบบ Triple Focus, โหมด Portrait, Smart HDR, โหมดถ่ายภาพกลางคืน Ultra Night Mode 2.0, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Dual OIS, การซูมแบบ 10x Hybrid Zoom พร้อมซูมสูงสุดที่ 60 เท่า (60x Digital Zoom) และรองรับการบันทึกวิดีโอสูงสุดที่ระดับ 4K UHD

และที่น่าสนในคือกล้องสำหรับซูมภาพแบบ Periscope นั้นใช้เทคโนโลยีการผลิตหลักๆ แบบ D-Cut และ Dual-Motor เพื่อทำให้โมดูลเลนส์กล้องทั้งสามชั้นมีความบางเพียง 6.67 มิลลิเมตร และไม่นูนออกมาจากตัวเครื่อง ซึ่งให้สัมผัสเรียบเนียนขณะถือใช้งาน

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

สำหรับ OPPO Reno 10x Zoom มาพร้อมกับระบบ Dual Frequency GPS (L1 + L5) ในการจับตำแหน่งจากสองคลื่นความถี่จึงทำให้สามารถระบุพิกัดสถานที่ และวัดระยะได้ค่อนข้างแม่นยำ โดยรองรับระบบดาวเทียม 4 ตัว ได้แก่ GPS, GLONAS, Beidou และ Galileo

และใน Game Space นั้นก็มี Graphics Acceleration สำหรับรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลที่สุด รวมไปถึง Network Protection สำหรับจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตของแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เพื่อช่วยลดอาการแลคขณะเล่นเกมออนไลน์ที่จำเป็นต้องมีการรับ-ส่งข้อมูลอยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้ OPPO Reno 10x Zoom ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี GameBoost 2.0 ก็แยกออกเป็น TouchBoost สำหรับช่วยเพิ่ม Response Rate ในเกมที่เน้นกราฟิกได้มากขึ้น 21.6% และ FrameBoost ที่ช่วยลดปัญหาเฟรมเรทตก พร้อมล็อกเฟรมเรทให้อยู่ในระดับสูง ซึ่งมีความมั่นคงมากขึ้นถึง 31.38% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน และฟังก์ชัน Game Shock กับการสั่นสะเทือนตามเอคชั่นต่างๆ ภายในเกมด้วยมอเตอร์ที่ติดตั้งไว้  เพื่อช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมอีกด้วย

การใช้งานกล้องดิจิทัลสำหรับถ่ายภาพนิ่ง และวิดีโอ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียด 48+13+8 ล้านพิกเซล ของ OPPO Reno 10x Zoom

ภาพถ่ายจากโหมด Dazzle Color 2.0

ภาพถ่ายจากโหมด Dazzle Color 2.0

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าของตัวเครื่องแบบ Pivot Rising Camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซลของ OPPO Reno 10x Zoom

สรุปผลการทดสอบของ OPPO Reno 10x Zoom

อีกหนึ่งจุดเด่นของ OPPO Reno 10x Zoom จะเป็นอะไรไปไม่ได้เลย นอกจาก กล้องหน้าเลื่อนได้อัตโนมัติแบบ Pivot Rising Camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ที่ใช้เวลาเปิดใช้งาน เพียง 0.8 วินาที และผ่านการทดสอบกว่า 2 แสนครั้ง รวมถึงรองรับฟีเจอร์ตรวจจับแรงโน้มถ่วง เมื่อเครื่องหล่น ตัวเครื่องจะเก็บกล้องเองโดยอัตโนมัติ ซึ่ง ทาง OPPO ระบุว่า หากเปิดใช้งานวันละ 100 ครั้ง จะสามารถใช้งานได้นานกว่า 5 ปีเลยทีเดียว

สำหรับตัวเครื่องใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Metal-Glass Unibody ด้วยกรอบโลหะอะลูมิเนียม ผสานกระจกที่ด้านหน้า และด้านหลังของตัวเครื่อง พร้อมกระบวนการไล่เฉดสีผิวสัมผัสหลายชั้นแบบ Iridescent Multi-Layer Finish โดยมีตัวเลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ Ocean Green และ Jet Black

ทางด้านสเปกก็แรงจัดเต็มด้วย ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 855 (Octa-Core) ที่มีความเร็ว 2.84 GHz บนเทคโนโลยีการผลิตระดับ 7nm พร้อมด้วยหน่วยประมวลผลด้าน AI โดยเฉพาะในเวอร์ชันที่ 4 (4th Gen AI Engine) ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มจากรุ่นก่อนถึง 45% โดยมากับหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Adreno 640 และรองรับระบบระบายความร้อนถึง 3 ชั้น (3 Layer Cooling Technology) ที่ช่วยลดอุณหภูมิได้ถึง 13% โดยจับคู่กับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB และมีความจุภายใน (ROM) ที่ขนาด 256GB แต่จำเป็นต้องเลือกระหว่าง microSD Card หรือซิมการ์ดที่สอง เนื่องจาก OPPO Reno 10x Zoom รองรับถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid-Slot

รวมถึงรองรับเทคโนโลยี Hyper Boost 2.0 ที่ช่วยเร่งประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวม 3 ด้านหลักๆ ได้แก่ แอปพลิเคชัน (AppBoost), ระบบ (SystemBoost) และเกม (GameBoost 2.0) ให้ดีขึ้น โดยใน GameBoost 2.0 ก็แยกออกเป็น TouchBoost สำหรับช่วยเพิ่ม Response Rate ในเกมที่เน้นกราฟิกได้มากขึ้น 21.6% และ FrameBoost ที่ช่วยลดปัญหาเฟรมเรทตก พร้อมล็อกเฟรมเรทให้อยู่ในระดับสูง ซึ่งมีความมั่นคงมากขึ้นถึง 31.38% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์ตัวจริงอย่าง Game Assistant และ Game Space ด้วยเช่นกัน รวมถึงลำโพงสเตอริโอที่มากับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos และฟังก์ชัน Game Shock กับการสั่นสะเทือนตามเอคชั่นต่างๆ ภายในเกมด้วยมอเตอร์ที่ติดตั้งไว้ เพื่อช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมอีกด้วย เรียกได้ว่า OPPO Reno 10x Zoom สามารถตอบโจทย์การใช้งานด้านความบันเทิงโดยเฉพาะการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี

OPPO Reno 10x Zoom ทำงานอยู่บน ระบบ ปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ที่ครอบทับด้วย ColorOS 6.0 กับการปรับโฉมดีไซน์ User Interface หมดจด พร้อมเพิ่มลูกเล่นที่น่าสนใจมากมาย และมีแบตเตอรี่ความจุ 4065 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ VOOC Flash Charge 3.0 (5V/4A/20W) ซึ่งช่วยย่นระยะเวลาในการชาร์จ โดยไม่ต้องรอนานเหมือนกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ และยังมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยแบบ 5 ชั้น เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าตัวเครื่องจะมีความปลอดภัยระหว่างชาร์จแบตเตอรี่อีกด้วย

รวมถึงฟีเจอร์ Clone Apps ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง Facebook หรือ Line ได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์, ฟีเจอร์ App Split-Screen ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อมๆ กัน, ฟีเจอร์ Multi-screen Interaction สำหรับแชร์หน้าจอจากสมาร์ทโฟนไป แสดงผลที่หน้าจอทีวี หรือจอมอนิเตอร์อื่นๆ โดยไม่ต้องใช้สาย พร้อมทั้งฟีเจอร์ Clone Phone สำหรับท่านที่เปลี่ยนมาใช้งาน OPPO Reno 10x Zoom ที่สามารถทำการโอนถ่ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเดิมได้ทันที

OPPO Reno 10x Zoom ยังให้ความสำคัญด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ด้วยเช่นกัน กับฟังก์ชัน App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่างๆ ภายในตัวเครื่อง, Private Safe ที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเภทอื่นๆ เข้าไปเก็บไว้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน และ Kid Space โหมดใช้งานสำหรับเด็ก รวมถึงก็มีระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อต้องกรอกรหัสผ่าน และการป้องกันการบันทึกหน้าจอที่เปิดเผยข้อมูลสำคัญ

และจากการทดสอบทั้งหมดพอจะสรุปได้ว่า OPPO Reno 10x Zoom เหมาะสำหรับท่านที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนระดับท็อป ที่พร้อมตอบโจทย์การใช้งานในระดับไฮเอนด์อย่างครบครันทุกด้าน โดยเฉพาะการถ่ายภาพด้วยกล้องหลังทั้ง 3 ตัว (Triple Camera) ที่มีลูกเล่นการถ่ายภาพต่างๆ ใส่มาให้มากมาย รวมทั้งใช้งานด้านความบันเทิงได้อย่างเต็มที่ และมีการดีไซน์ระดับพรีเมียมด้วยกระบวนการไล่เฉดสีผิวสัมผัสหลายชั้นที่ช่วยเสริมความสวยงามให้กับตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชั่นพิเศษจากผู้ให้บริการเครือข่ายอย่าง AIS และ TrueMove สำหรับผู้ที่สั่งจองล่วงหน้า (Pre-Order) ด้วยการลดราคาค่าเครื่องเหลือเริ่มต้นเพียง 8,990 บาท (เมื่อสมัครแพ็กเกจตามที่กำหนด) โดยเปิดจองถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2562

OPPO Reno 10x Zoom จะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2562 นี้เป็นต้นไป ที่ร้าน OPPO Brand Shop ทุกสาขา และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง OPPO ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง OPPO Reno 10x Zoom มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ

จุดเด่นของ OPPO Reno 10x Zoom

- เทคโนโลยีการผลิตตัวเครื่องแบบ  Metal-Glass Unibody ด้วยกรอบโลหะอะลูมิเนียม ผสานกระจก Gorilla Glass 6 ที่ด้านหน้า และด้านหลังของตัวเครื่อง พร้อมกระบวนการไล่เฉดสีผิวสัมผัสหลายชั้นแบบ Iridescent Multi-Layer Finish - หน้าจอแสดงผลไร้ขอบไร้รูไร้รอยบากแบบ AMOLED Panoramic Screen ขนาดใหญ่ 6.6 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2340 พิกเซล : 387 ppi) ในอัตราส่วนการแสดงผลแบบ 19.5:9 โดยมีสัดส่วนจอแสดงผลกับตัวเครื่องที่ 93.1% และมีขอบเขตการแสดงผลสีแบบ DCI-P3 - เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (Hidden Fingerprint Unlock 2.0)สำหรับตรวจสอบสิทธิ์ของการเข้าใช้งานเครื่อง และการเข้าถึงข้อมูลภายใน - ฟีเจอร์ปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Recognition) - ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm SM8150 Snapdragon 855 Octa-Core Processor ที่มีความเร็ว 2.84 GHz - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 640 - เทคโนโลยี Hyper Boost 2.0 : AppBoost, SystemBoost และ GameBoost 2.0 - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie พร้อมครอบทับด้วย ColorOS 6.0 - หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 256GB - รองรับการเพิ่มพื้นที่เก็บบันทึกข้อมูลด้วย microSD Card - กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) โดยแบ่งออกเป็นกล้องตัวที่หนึ่งเลนส์ Ultra-Clear ความละเอียดระดับ 48 ล้านพิกเซล(เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX586 : ขนาดเลนส์ 1/2.0 นิ้ว : ขนาดรูรับแสงที่f/1.7), กล้องตัวที่สองเลนส์ Telephoto แบบ Periscope พร้อมเทคโนโลยี D-Cutความละเอียดระดับ 13 ล้านพิกเซล (ขนาดรูรับแสงที่ f/3.0)และกล้องตัวที่สามเลนส์มุมกว้าง Wide Angle ความละเอียดระดับ 8ล้านพิกเซล (ขนาดรูรับแสงที่ f/2.2 : เก็บภาพมุมกว้างสุด 120 องศา)รองรับการโฟกัสภาพแบบ Triple Focus ได้แก่ PDAF : Phase Detection Autofocus/ LDAF : Laser Autofocus / CDAF : Contrast Detection Auto Focus, โหมดPortrait, Smart HDR, โหมดถ่ายภาพกลางคืน Ultra Night Mode 2.0,ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Dual OIS, การซูมแบบ 10x Hybrid Zoomพร้อมซูมสูงสุดที่ 60 เท่า (60x Digital Zoom)และรองรับการบันทึกวิดีโอสูงสุดที่ระดับ 4K 60fps - กล้องดิจิทัลด้านหน้า Pivot Rising Camera แบบสไลด์ได้เองอัตโนมัติ ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.0 เลนส์มุมกว้าง 79.3 องศา พร้อมเทคโนโลยี AI Beautification ที่สามารถปรับโครงหน้าได้อย่างอิสระ และระบบป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยหากกล้องหน้าไม่มีการใช้งานเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือในกรณีที่เราเปิดกล้องหน้าค้างไว้ แต่ทำเครื่องตก ระบบก็จะทำการเลื่อนเก็บไว้ให้แบบอัตโนมัติ - ฟังก์ชัน App Encryption และ Private Safe เพื่อความเป็นส่วนตัว รวมถึง Kids Space การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก - ฟังก์ชัน Full Screen Multitasking สำหรับเปิดแอปพลิเคชันอื่นๆ ขณะใช้งานในโหมดการแสดงผลเต็มหน้าจอ เช่น การเล่นเกม หรือการชมวิดีโอต่างๆ - ลำโพงเสียงแบบสเตอริโอ ด้วยลำโพงที่ด้านบน กับด้านล่างของตัวเครื่อง พร้อมระบบเสียงแบบ Dolby Atmos - แบตเตอรี่ความจุ 4065 mAh พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ VOOC Flash Charge 3.0 ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วกว่าเวอร์ชันก่อนหน้าถึง 20% - ฟังก์ชัน Game Assistant ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม - ฟังก์ชัน Game Space ที่สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ  รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกมได้ - ฟังก์ชัน Clone App สำหรับใช้งานแอปพลิเคชัน Facebook ได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ - ฟังก์ชัน App Split-Screen สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ - ฟีเจอร์ Multi-screen Interaction สำหรับแชร์หน้าจอจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลที่หน้าจอทีวี หรือจอมอนิเตอร์อื่นๆ โดยไม่ต้องใช้สาย - เทคโนโลยี Dual Frequency GPS - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, EDGE และ GPRS - รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 b/g/n/ac , Bluetooth 5.0 และ NFC - พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C (USB 3.0) - รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual nanoSIM) - รองรับการสแตนด์บายแบบ Dual 4G LTE

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO Reno 10x Zoom

- ตัวเครื่องไม่มีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ หรือป้องกันฝุ่น - หน้าจอ Panoramic Screen ในอัตราส่วน 19.5:9 ยังไม่สามารถใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันทั้งหมดได้ - ด้วยความที่หน้าจอมีขอบบาง อาจทำให้อุ้งมือของผู้ใช้ไปสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจ - ตัวเครื่องค่อนข้างหนา และมีน้ำหนักพอสมควร - ถาดใส่ซิมการ์ดเป็นแบบ Hybrid-Slot ที่ต้องเลือกใช้งานในช่องซิมการ์ดที่สอง ระหว่างซิมการ์ด หรือ microSD Card

โปรดทราบ

* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริง บ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *

Leave a Comment